การประเมินประเด็นสำคัญ
การประเมินประเด็นที่สำคัญ
การมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย
ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนได้เสียเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างคุณค่าของธุรกิจในระยะยาว กลุ่มไทยออยล์ได้จัดตั้งหน่วยงานภายในเพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนกับผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รับทราบถึงมุมมองและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อพัฒนาการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้ระบุผู้มีส่วนได้เสียขององค์กรด้วยการวิเคราะห์ความเกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การรับน้ำมันดิบเข้ามาจนถึงของเหลือทิ้งหลังการใช้งาน โดยประเมินจากผลกระทบและอิทธิพลที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ดังแผนภาพด้านล่าง
แผนภาพการระบุผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า
จากแผนภาพข้างต้น กลุ่มไทยออยล์ได้จัดแบ่งผู้มีส่วนได้เสียออกเป็น 6 กลุ่มหลัก และมีแนวทางในการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยเริ่มตั้งแต่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ส่งผลให้รูปแบบและความถี่ในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบออนไลน์มากขึ้น ดังปรากฏในตาร
กระบวนการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์
กลุ่มไทยออยล์วิเคราะห์ประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้เสียและต่อธุรกิจตามมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนสากลของ GRI Standards (Global Reporting Initiative Standards) เป็นประจำทุกปี โดยประยุกต์แนวความคิดด้านการสร้างคุณค่าจากหลักการจัดการประเด็นสำคัญ (Materiality Matters) ของ The Value Reporting Foundation และได้รับการตรวจรับรองความน่าเชื่อถือของกระบวนการโดยหน่วยงานอิสระจากภายนอก
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความยั่งยืนขององค์กรตั้งแต่ต้นปีและนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณากลยุทธ์ความยั่งยืน ตามกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ STS (Strategic Thinking Session) เพื่อสนับสนุนการวางแผน การกำหนดเป้าหมาย รวมถึงจัดสรรต้นทุนทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ทุนทางการเงิน ทุนการผลิต ทุนทรัพยากรธรรมชาติ ทุนทรัพยากรมนุษย์ ทุนทรัพย์สินทางปัญญาและองค์ความรู้ และทุนทางสังคมและความสัมพันธ์
ขั้นที่ 1: การระบุประเด็นที่สำคัญ (Identification)
กลุ่มไทยออยล์พิจารณาประเด็นสำคัญของธุรกิจประจำปี 2566 ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยภายใน ได้แก่ การทบทวนประเด็นสำคัญที่ได้จากการวิเคราะห์ทิศทางกลยุทธ์ธุรกิจระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว (Business Strategic Direction) และวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ประเด็นความสนใจของผู้มีส่วนได้เสีย ประเด็นสนใจจากการประเมินความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ประเด็นที่สำคัญของบริษัทธุรกิจกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีอื่นๆ เป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals: SDGs) แนวโน้มของประเทศไทยและของโลก ดังปรากฏในรายงานของสถาบันที่ได้รับการยอมรับต่างๆ เช่น สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) และนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการทบทวนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไทยออยล์เพิ่มเติมจากปีก่อนหน้า
ขั้นที่ 2: การจัดลำดับประเด็นที่สำคัญ (Prioritization)
- กลุ่มไทยออยล์จัดลำดับความสำคัญของประเด็นด้านความยั่งยืนประจำปี 2566 ด้วยการทบทวนผลการประเมินประเด็นสำคัญของปีก่อนหน้าผ่านปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่อาจเข้ามากระทบธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสีย โดยจัดเป็นกิจกรรมเวิร์กช็อปร่วมกับผู้บริหาร รวมไปถึงการเข้าไปสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ เพื่อประเมินประเด็นความยั่งยืนที่ผู้มีส่วนได้เสียให้ความสนใจและคาดหวัง พร้อมทั้งพิจารณาถึงผลกระทบต่อการสร้างคุณค่าของบริษัทฯ จากทิศทางธุรกิจในประเด็นต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการวิสารัตถภาพ (Double Materiality Principle) โดยผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งในรูปแบบข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพถูกสะท้อนในความสามารถของธุรกิจในการสร้างมูลค่า หรือผลกระทบทางการเงินทั้งเชิงลบและบวก ควบคู่กับการพิจารณาถึงผลกระทบต่อการสร้างคุณค่าของบริษัทฯ จากทิศทางธุรกิจในประเด็นต่างๆ โดยแบ่งออกเป็นระดับความสำคัญสูง กลาง ต่ำ ผ่านการจัดอันดับ (Ranking) ของประเด็นความสำคัญด้านความยั่งยืน และใช้เกณฑ์พิจารณาใน 2 มิติ คือ
- 1) ผลกระทบและความสำคัญของประเด็นต่อความสามารถในการสร้างคุณค่าของกลุ่มไทยออยล์
- 2) ผลกระทบและความสำคัญของประเด็นต่อผู้มีส่วนได้เสีย
ขั้นที่ 3: การทวนสอบประเด็นที่สำคัญ (Validation)
กลุ่มไทยออยล์ทวนสอบความครบถ้วนของประเด็นที่มีนัยสำคัญโดยหน่วยงานการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน จากนั้นจึงนำประเด็นด้านความยั่งยืนที่ผ่านการทวนสอบแล้วไปเสนอต่อที่คณะกรรมการการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Steering Committee) โดยมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นประธาน เพื่อพิจารณาอนุมัติและยืนยันประเด็นด้านความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญภายใต้ขอบเขตผลกระทบทั้งภายในและภายนอกองค์กร ควบคู่กับการได้รับการเห็นชอบโดยคณะกรรมการบริษัทชุดย่อย ได้แก่ คณะกรรมการกํากับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Corporate Governance and Sustainability Committee)
นอกจากนี้ สำหรับการตรวจสอบกระบวนการประเมินประเด็นสำคัญและการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงข้อมูลผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม กลุ่มไทยออยล์ได้เชิญหน่วยงานอิสระจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบเพื่อรับรองการได้มาซึ่งข้อมูลที่มีความถูกต้องและครบถ้วน
ขั้นตอนที่ 4: การบูรณาการเข้ากับกระบวนการการจัดการความเสี่ยงและกลยุทธ์องค์กร (Strategic Integration)
ผลลัพธ์ของการประเมินประเด็นด้านความยั่งยืนที่ได้รับการอนุมัติและลงนามแล้ว จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการการจัดการความเสี่ยงองค์กร (Enterprise Risk Management: ERM) ของบริษัทฯ เพื่อประเมินความเสี่ยงในกระบวนการทางธุรกิจ จัดเตรียมแผนบรรเทาผลกระทบตามความจำเป็น และสนับสนุนการพิจารณาวางแผนกลยุทธ์องค์กรตามกระบวนการวางแผนธุรกิจ STS ประจำปี เพื่อเป็นรากฐานที่สำคัญในการบริหารจัดการองค์กรให้มีความยั่งยืน ผ่านการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และกลยุทธ์ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวตามความเหมาะสมต่อไป
ผลการประเมินประเด็นด้านความยั่งยืนที่สำคัญปี 2566
การประเมินประเด็นสำคัญในปี 2566 พบว่า มีบริบทการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกที่ส่งผลต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย และมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้เสียและธุรกิจในการสร้างคุณค่าในระยะยาว โดยเฉพาะความใส่ใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เข้มข้นขึ้นทำให้ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์และรูปแบบธุรกิจเพื่อก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและชุมชนรอบโรงกลั่นที่เปลี่ยนไป การส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตเพื่อยกระดับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ ของโลกที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นให้ความสำคัญต่อชีวิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ดังรายละเอียดในแผนภาพและตาราง ดังนี้
การประเมินผลกระทบกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียภายนอกองค์กร
กลุ่มไทยออยล์ได้วิเคราะห์ประเด็นสาระสำคัญเพื่อระบุและประเมินผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียภายนอก โดยใช้เกณฑ์การพิจารณาจากการดำเนินงาน ผลิตภัณฑ์และการบริการ และห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ กลุ่มไทยออยล์ได้วัดผลกระทบและประเมินมูลค่าโดยใช้หลักการ “Natural Capital Protocol” และ “Social & Human Capital Protocol” เพื่อระบุและวัดผลกระทบในเชิงบวกและเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และนำไปสู่การกำหนดมูลค่าผลกระทบเชิงปริมาณภายใต้การดำเนินการของกลุ่มไทยออยล์ จากการวิเคราะห์ สามารถระบุผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มไทยออยล์ 2 ประการ ดังปรากฏในตารางต่อไปนี้
ประเด็นสาระสำคัญสำหรับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียภายนอกองค์กร | ผลกระทบที่สำคัญประการที่ 1 | ผลกระทบที่สำคัญประการที่ 2 |
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 – กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ (โดยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากผลิตภัณฑ์จำพวกแก๊สโซฮอล์และพลังงานไบโอดีเซล) เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสภาพภูมิอากาศ | การปล่อยมลพิษทางอากาศ (NOx SOx และ VOCs) – กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่อสังคม โดยกำหนดให้มีการบริหารจัดการการปล่อยมลพิษทางอากาศต่างๆ ประกอบด้วย ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SOx) และสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) อย่างไรก็ตาม มลพิษทางอากาศยังคงส่งผลเสียต่อสภาพภูมิอากาศ | |
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียภายนอกองค์กร |
|
|
ตัวชี้วัดผลลัพธ์ |
|
|
ตัวชี้วัดผลกระทบ | ผลประโยชน์ต่อสังคม / สิ่งแวดล้อม = 1,600 ล้านบาท |
|
ตัวชี้วัดผลกระทบแทน |
|
|
แหล่งอ้างอิงตัวชี้วัดผลกระทบแทน | US Government, IWG on Social Cost of Greenhouse Gases, 2021. Pg 16 (Page 16): Technical Support Document: Social Cost of Carbon, Methane, (whitehouse.gov) | TruCost (2013) Natural Capital at Risk. (page 41, average costs): http://naturalcapitalcoalition.org/wp-content/uploads/2016/07/Trucost-Nat-Cap-at-Risk-Final-Report-web.pdf |