การจัดการนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อลูกค้า
การจัดการนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อลูกค้า
ความท้าทาย ความเสี่ยง และผลกระทบ
ปี 2566 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความเสี่ยงมากมาย เช่น สงครามและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ความผันผวนของตลาดการเงินโลก สถานการณ์เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ฯลฯ ล้วนเป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตทางภาคธุรกิจ ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้องค์กรต้องปรับตัวและเสริมสร้างกลยุทธ์ของตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สำหรับแนวทางการดำเนินการของกลุ่มไทยออยล์ได้ปรับตัว ปรับพอร์ตการลงทุนให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและมีความหลากหลายของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสรรค์ “นวัตกรรม” ที่ถือเป็น Corporate Value ของบริษัทฯ จะยิ่งทวีความสำคัญในการนำพาองค์กรให้อยู่รอดท่ามกลางความเสี่ยงภายนอกที่ควบคุมไม่ได้และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ๆ ผ่านการทำงานประสานกันของหลายหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ความมุ่งมั่น และเป้าหมาย
สืบเนื่องจากปี 2565 คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติในหลักการแผนกลยุทธ์ในการพัฒนานวัตกรรมขององค์กร ส่งผลให้ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์กำหนดเป้าหมายด้านนวัตกรรม การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มขององค์กรที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรด้านนวัตกรรมโดยเฉพาะ และมีการจัดกิจกรรมระดมสมองในฝ่ายต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และกล้าเสนอความคิดใหม่ๆ ในการทำงานตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นตั้งใจติดตามผลงานความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในภาพรวมและสร้างประโยชน์ให้บริษัทฯ อย่างเป็นรูปธรรม
เป้าหมาย
กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นในการพัฒนาสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมจากระดับ 3 เป็นระดับ 4 (จาก 5 ระดับ) ภายในปี 2569 ซึ่งหมายถึงการเริ่มมีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่มีความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมและสร้างผลกระทบทางธุรกิจกับบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ จึงถือว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในองค์กรร่วมกันขับเคลื่อนองค์กร เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยกลุ่มไทยออยล์กำหนดแผนงานในแต่ละปีเพื่อบรรลุเป้าหมายในปี 2569 ไว้ดังนี้
ในปี 2565 บริษัทฯ มีระดับนวัตกรรมขององค์กรอยู่ที่ระดับ 3 (จาก 5 ระดับ) และมีแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาระดับนวัตกรรมขององค์กรที่ชัดเจน
- • ปี 2566 เน้นเรื่องการสร้างวัฒนธรรมองค์กรในด้านนวัตกรรม การระดมสมอง เพื่อหาไอเดียสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์กับองค์กร
- • ปี 2567 เน้นเรื่องการนำไอเดียสร้างสรรค์มาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างประโยชน์ทางธุรกิจขององค์กร และจะมีการวัดระดับนวัตกรรมขององค์กรอีกครั้ง เพื่อประเมินความก้าวหน้าในการพัฒนาสู่ความเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม
- • ปี 2568 นำผลการวัดระดับนวัตกรรมขององค์กรที่ได้มาพัฒนา ปรับปรุง และส่งเสริมให้พนักงานมีความพร้อม เพื่อยกระดับสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมยิ่งขึ้น
ตัวชี้วัด | หน่วย | เป้าหมายปี 2569 |
ระดับนวัตกรรม | ระดับ | 4 (จาก 5 ระดับ) |
นอกจากนั้น กลุ่มไทยออยล์ยังมุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจในสินค้าและบริการให้กับลูกค้า ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อและการบริหารจัดการเพื่อให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ครบถ้วน ถูกต้อง และตามเวลาที่กำหนด ตลอดจนการรับเรื่องข้อร้องเรียนและการติดตามแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บริษัทฯ สามารถปรับแผนการตลาดได้อย่างเหมาะสมและเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตร (Building on Our Strong Strategic Partnership)
ตัวชี้วัด | หน่วย | เป้าหมายปี 2566 |
รักษาความผูกพันของลูกค้ากลุ่มไทยออยล์ | ร้อยละ | 92 |
แนวทางการบริหารจัดการและผลการดำเนินงาน
- การบริหารจัดการนวัตกรรม
- แนวทางการบริหารจัดการ
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์กำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายขององค์กร (Corporate KPI) ด้านวัฒนธรรมนวัตกรรมเป็นครั้งแรก โดยระดับที่ 1 คือ ร้อยละ 75 ของพนักงานตระหนักถึงวัฒนธรรมด้านนวัตกรรม ระดับที่ 2 และ 3 คือ มีไอเดียใหม่ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จำนวน 50 และ 100 ไอเดีย ตามลำดับ ส่วนระดับที่ 4 และ 5 คือ มีผลประโยชน์ที่เป็นไปได้จากการลงมือทำไอเดียให้เกิดขึ้นจริงเป็นเงิน 50 และ 100 ล้านบาท ต่อปี ตามลำดับ
เป้าหมายด้านนวัตกรรมขององค์กรถูกถ่ายทอดไปเป็นเป้าหมายของฝ่ายต่างๆ อย่างทั่วถึงทั้ง 35 ฝ่ายในบริษัทฯ และมีการจัดกิจกรรมระดมสมองในแต่ละฝ่าย เพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ร่วมกัน หลังจากนั้น แต่ละฝ่ายเลือกไอเดียที่เหมาะสม เพื่อลงมือปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับองค์กรต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมอื่นๆ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านนวัตกรรมขององค์กร (i-LEAD) งานมอบรางวัลด้านนวัตกรรมแก่บุคลากรที่สร้างสรรค์นวัตกรรมโดดเด่น รวมถึงกิจกรรมให้ความรู้และข้อมูลด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยแก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมที่พนักงานทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
- วัฒนธรรมนวัตกรรม
- แนวทางการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กร
กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนพนักงานให้ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมเรื่อยมา และมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านนวัตกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรม ดังต่อไปนี้
โครงการ i-LEAD
ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์ตั้งแต่ปี 2565 ที่มุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นฐานสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตและก้าวหน้าอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับ "นวัตกรรม" โดยมุ่งเน้นและผลักดันให้บุคลากรพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ สร้างแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต
ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายใน ผ่านพฤติกรรม "i-LEAD" ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาจากตัวแทนของพนักงานทุกระดับ ตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูง (Top Management) ตลอดจนผู้จัดการแผนกและพนักงาน เพื่อออกแบบรูปแบบของพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการมีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมในการปฏิบัติงานประจำวัน (Daily Work) ผ่านการสื่อสารและการสร้างการรับรู้ (Awareness) เพื่อให้พนักงานเข้าใจ จดจำ และนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน ดังนี้
การจัดกิจกรรมร่วมกับผู้บริหารระดับสูง
|
|
|
|
การจัดกิจกรรมร่วมกับตัวแทนพนักงานประจำแต่ละหน่วยงาน (Change Agent)
|
|
การจัดกิจกรรมเสริมสร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมนวัตกรรม 360 องศาให้แก่พนักงาน ทั้งรูปแบบออนไลน์และแบบออฟไลน์ (Building 360 Innovation Culture Awareness to Staff: Online & Offline)
การจัดกิจกรรม Campaign และการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ที่หลากหลายของบริษัทฯ เช่น อีเมล ไลน์ออฟฟิเชียล บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ และกิจกรรมเดินสายโรดโชว์ เป็นต้น ตลอดจนการจัดงาน Corporate Innovation and Learning Day เพื่อส่งเสริมและมอบรางวัลให้กับพนักงานที่ส่งผลงานด้านนวัตกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ | |
Innovation Culture Mini-series: i-LEAD จี๊ดหัวใจ
|
E-Learning: LO x INNO Learning Challenge
|
Corporate Innovation and Learning Day
|
i-LEAD Roadshow
|
โครงการส่งเสริมการสร้างความรู้ด้านนวัตกรรมแก่พนักงาน
กลุ่มไทยออยล์ส่งเสริมพนักงานให้เป็นนวัตกรที่มีคุณภาพ ให้มีความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของนวัตกรรม องค์ความรู้เพื่อการต่อยอดพัฒนา และแรงบันดาลใจเกี่ยวกับนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมดังต่อไปนี้
TOP Innovation E-newsletter |
การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอีเมลรายสัปดาห์ส่งให้แก่พนักงานทุกคนในกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ และกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่นวัตกรพึงมีและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน รวมถึงการให้ข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนและผลตอบรับที่ดีมาก โดยในปี 2566 มีการเผยแพร่บทความ TOP Innovation E-newsletter ทั้งหมด 32 ฉบับ มียอดผู้อ่านบทความรวมกว่า 22,978 ครั้ง ซึ่งเพิ่มมากกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 390 และภาพรวมคะแนนความพึงพอใจจากผู้อ่านอยู่ในระดับดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม) |
TOP BCG Updates
|
การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอีเมลรายเดือนเพื่อเพิ่มความรู้ทางด้าน BCG ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประกอบไปด้วยนโยบายการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ 3 ระบบของรัฐบาลไทย อันได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ(Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน และนวัตกรรมในการลดโลกร้อนต่างๆ ซึ่งเป็นที่สนใจของพนักงานอย่างท่วมท้น โดยในปี 2566 ภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม) และในแต่ละครั้งมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมากกว่า 785 คน ต่อครั้ง ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง |
Innovation Talk |
การเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมมาให้ความรู้กับพนักงาน เช่น คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (CEO ของ Bitkub) คุณรวิศ หาญอุตสาหะ( CEO ของ Srichand เป็นต้น โดยในปี 2566 มีการจัดกิจกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 35 และความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 91 เป็น 93 จาก 100 คะแนนเต็ม |
โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2566
กลุ่มไทยออยล์ได้รวบรวมผลงานด้านนวัตกรรมจากพนักงานที่เข้าร่วมในโครงการ Thaioil Innovation Awards ในปีที่ผ่านมา โดยแบ่งผลงานเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Idea for Innovation) โครงการต้นแบบ (Prototype) และโครงการนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งมีจำนวนโครงการส่งเข้าประกวดทั้งหมด 295 โครงการ เพิ่มขึ้นจากครั้งที่ผ่านมาประมาณ 3 เท่า ในปี 2566 มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตัดสินผลรางวัล โดยมีโครงการที่ได้รับรางวัล Thaioil Innovation Awards จำนวน 49 โครงการ และมีการจัดงานวัน Thaioil Innovation and Learning Day 2023 ในวันที่ 11 กันยายน 2566 เพื่อมอบรางวัล Thaioil Innovation Awards ให้กับโครงการที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมและเป็นขวัญกำลังใจให้กับนวัตกรทุกคน
แนวทางการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายนอกองค์กร
การร่วมมือของหน่วยงานวิจัยและพัฒนา บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กับหน่วยงานภายนอกถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่สำคัญเพื่อการสานประโยชน์จากการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงที่ได้รับการพัฒนาถึงระดับที่สามารถพัฒนาต่อยอดในทางอุตสาหกรรมได้ เป็นการลดระยะเวลาและเสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน ทำให้เพิ่มโอกาสในการสร้างความสำเร็จของโครงการที่จะนำไปสู่การใช้งานจริง หรือสร้างเป็นธุรกิจใหม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาและยกระดับความรู้ความสามารถของนักวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยอีกด้วย
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับภาคการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ กลุ่มไทยออยล์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ลงนามในความร่วมมือที่สำคัญ 2 ฉบับ คือ การร่วมลงนามในความร่วมมือต่อเนื่องฉบับที่ 6 กับวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี และการร่วมลงนามในความร่วมมือด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงกับคณะเภสัชศาสตร์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนธุรกิจโดยงานวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากการร่วมมือกับหน่วยงานภาคการศึกษาและภาครัฐแล้ว กลุ่มไทยออยล์ยังได้ขยายความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้โครงการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางมะตอยน้ำ หรือ Emulsified Asphalts (EA) ที่เกิดจากจุดแข็งของทั้งสองบริษัท โดยบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ผลิตสาร Emulsifier รายใหญ่ของประเทศไทย และกลุ่มไทยออยล์ ในฐานะผู้ผลิตยางมะตอยรายใหญ่ของประเทศไทย จนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางมะตอยน้ำที่มีคุณภาพสูงและได้รับการรับรองคุณสมบัติทางเคมีและทางกลจากกรมทางหลวงฯ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนและมีคุณภาพที่ดี
โครงการวิจัยสำคัญที่แล้วเสร็จในปี 2566 ได้แก่ โครงการแรก คือ โครงการเปลี่ยนเอทิลีนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเป็นเอทิลีนคาร์บอเนตสำหรับใช้เป็นสารละลายในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ผลจากการวิจัยทำให้กลุ่มไทยออยล์บรรลุเป้าหมายในการพัฒนากระบวนการผลิตเอทิลีนคาร์บอเนตด้วยกระบวนการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้นกว่ากระบวนการผลิตที่มีอยู่ในเทคโนโลยีปัจจุบัน ด้วยผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัยนี้ กลุ่มไทยออยล์ยังได้เห็นโอกาสในการจดทะเบียนสิทธิบัตรด้านการผลิตอีกด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างการร่างสิทธิบัตรเพื่อจดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา โครงการนี้เป็นโครงการที่ร่วมมือกับสถาบันวิทยสิริเมธี (Vidyasirimedhi Institute of Science and Technology: VISTEC) และโครงการที่สอง คือ โครงการปรับปรุงหน่วยทดสอบสารเร่งปฏิกิริยาสำหรับน้ำมันดีเซล จากที่สามารถทดสอบน้ำมันดีเซลในระดับเกรด EURO 4 เป็นสามารถทดสอบในระดับเกรด EURO 5 ได้ การปรับปรุงหน่วยทดสอบนี้เป็นการออกแบบการปรับปรุงและดำเนินการโดยนักวิจัยกลุ่มไทยออยล์ โครงการนี้เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือกับวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (The Petroleum and Petrochemical College: PPC) เป็นต้น
นวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปัจจุบัน หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาร่วมกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก ได้แก่ การระดมความคิดกับฝ่ายขายผลิตภัณฑ์ เพื่อหาช่องทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การระดมความคิดกับฝ่ายผลิต เพื่อปรับกระบวนการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตามที่ตลาดต้องการ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อค้นหาแนวโน้มของเทคโนโลยีและธุรกิจเพื่อประโยชน์ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง เป็นต้น ตัวอย่างนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไทยออยล์ ได้แก่
ผลิตภัณฑ์น้ำมันแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Transfer Oil) |
เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด ให้มีคุณสมบัติของการเป็นน้ำมันแลกเปลี่ยนความร้อน โดยทำการวิจัยคุณสมบัติที่จำเป็นต้องมี รวมถึงวิธีปรับปรุงคุณสมบัติดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานห้องปฏิบัติการ ผลการทดสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์พบว่ามีค่าคุณสมบัติด้านความเสถียรที่ความร้อนสูงถึง 300 องศาเซลเซียส และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าน้ำมันแลกเปลี่ยนความร้อนอื่นที่ใช้กัน ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันแลกเปลี่ยนความร้อนนี้ให้กับลูกค้าแล้ว โดยคิดเป็นผลประโยชน์ที่ได้ 0.6 ล้านบาท |
ผลิตภัณฑ์วัสดุเปลี่ยนสถานะ (Phase Change Material) |
เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ให้มีคุณสมบัติของการเป็นวัสดุเปลี่ยนสถานะ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่งได้ในช่วงความต่างอุณหภูมิเพียงเล็กน้อย โครงการนี้เป็นการวิจัยถึงวิธีการปรับปรุงคุณสมบัติของพาราฟินแวกซ์ (Slack Wax) เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นวัสดุเปลี่ยนสถานะ โดยในปี 2566 ได้ทำการทดสอบคุณสมบัติทั้งทางเคมี ความร้อน และกายภาพของพาราฟินแวกซ์เปรียบเทียบกับวัสดุเปลี่ยนสถานะที่จำหน่ายในเชิงพาณิชย์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาพาราฟินแวกซ์ของไทยลู้บเบสให้เป็นวัสดุเปลี่ยนสถานะในแอปพลิเคชันเป้าหมายต่างๆ ได้แก่ การควบคุม หรือลดอุณหภูมิของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ หรือแบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น |
นวัตกรรมเชิงกระบวนการ
นวัตกรรมเชิงกระบวนการสามารถแบ่งออกได้เป็นการพัฒนาด้านกระบวนการผลิต กระบวนการทำงาน หรือกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์พัฒนานวัตกรรมเชิงกระบวนการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับกระบวนการทำงานในปัจจุบัน โดยกระบวนการนี้ได้รับการตรวจรับรองจากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ว่ามีความสอดคล้องกับวิธีการทำงานในปัจจุบัน ที่เน้นกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบข้ามสายงาน (Cross Functioning) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (High Value Product) โดยประกอบด้วยทีมงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานอย่างชัดเจน เช่น หน่วยงานวิจัยและพัฒนา หน่วยงานการพาณิชย์ หน่วยงานผลิต หน่วยงานห้องทดสอบ หน่วยงานศึกษาข้อมูลความเป็นไปได้ เป็นต้น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนวัตกรรมเชิงกระบวนการ ได้แก่
โครงการปรับกระบวนการผลิตน้ำมันยาง (Rubber Process Oil) |
เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) โดยใช้นวัตกรรมเชิงกระบวนการ ที่มีการปรับกระบวนการผลิตน้ำมันยาง (Rubber Process Oil: RPO) เพื่อลดปริมาณสารก่อมะเร็ง (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons: PAH) ที่อยู่ในน้ำมันยางให้อยู่ในปริมาณที่ลูกค้ากำหนด โดยมีขั้นตอนที่สำคัญประกอบด้วย (1) คัดเลือกวัตถุดิบที่จะผลิตน้ำมันยางที่เหมาะสม (2) ปรับสภาวะในกระบวนการผลิตเพื่อควบคุมปริมาณสารก่อมะเร็ง และ (3) กระบวนการผสมผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันยางชนิด Light Residual Aromatic Extract (LRAE) ที่มีคุณสมบัติตามที่ลูกค้ากำหนด ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันยางนี้ให้กับลูกค้าแล้ว โดยคิดเป็นผลประโยชน์ที่ได้ 1.17 ล้านบาท |
โมเดลการเข้ากันได้ของน้ำมันดิบชนิดต่างๆ (Crude Compatibility Prediction Model) |
เป็นนวัตกรรมเชิงกระบวนการที่พัฒนากระบวนการทดสอบการตกตะกอนของส่วนผสมน้ำมันดิบที่แตกต่างกัน (Crude Recipes) ซึ่งสามารถคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการตกตะกอนจากการผสมน้ำมันดิบได้แม่นยำถึงประมาณร้อยละ 90 โดยประโยชน์ที่ได้จากการคาดการณ์นี้ ทำให้สามารถคัดเลือกน้ำมันดิบเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการกลั่นในโรงกลั่นได้อย่างเหมาะสมและลดโอกาสในการตกตะกอนของน้ำมันดิบที่อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนในกระบวนการกลั่น เป็นการประหยัดพลังงานที่ใช้ อีกทั้งโมเดลนี้จะเพิ่มโอกาสในการใช้น้ำมันดิบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นและลดการพึ่งพาคำแนะนำด้านเทคนิคจากหน่วยงานภายนอก ในปี 2566 หน่วยงานวิจัยและพัฒนาได้โอนถ่ายกระบวนการทำงานที่ได้จากโครงการ ฯ ให้กับหน่วยงานห้องทดสอบผลิตภัณฑ์ เพื่อทดสอบตัวอย่างน้ำมันดิบเพิ่มเติมตามรายการน้ำมันดิบกลุ่มใหม่ รวมถึงการปรับปรุงกระบวนการทดสอบในระดับปฏิบัติการเพิ่มเติม |
โครงการ RHCU Pilot Plant (Residue Hydrocracking) |
RHCU Pilot Plant เป็นหน่วยจำลองการผลิตของหน่วยกลั่น RHCU ในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ซึ่งได้รับการออกแบบกระบวนการผลิตโดยหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของกลุ่มไทยออยล์ร่วมกับบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบและคัดเลือกสูตรผสมน้ำมันดิบที่เหมาะสมต่อกระบวนการกลั่น รวมถึงตัวแปรต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการของ RHCU โดยผลลัพธ์ที่ได้จะนำไปใช้ในการวางแผนการผลิตให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การออกแบบกระบวนการทำงานของ RHCU Pilot Plant ต้องมีความสอดคล้องกับกระบวนการกลั่นและปฏิกิริยาเคมีในหน่วย RHCU กล่าวคือ มีการเดินเครื่องการผลิตตลอด 24 ชั่วโมง มีการควบคุมการผลิตและทดสอบผลการทดลองโดยทีมนักวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลและผลการทดสอบที่ถูกต้องแม่นยำ โดยประโยชน์หลักที่ได้จากโครงการนี้ คือ สามารถลดต้นทุนการผลิตจากการคัดเลือกสูตรผสมน้ำมันดิบที่เหมาะสมและการคัดเลือกตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีต้นทุนต่ำลง หรือมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 450 ล้านบาท ต่อปี นอกจากนี้ มีประโยชน์ที่เกิดจากการลดความเสี่ยงจากการตกตะกอนของผลิตภัณฑ์ในกระบวนการกลั่น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อครั้งของการเกิดปัญหา โดยการก่อสร้างและการทดสอบ RHCU Pilot Plant คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไตรมาสแรกของปี 2567 |
ผลการดำเนินงานปี 2566
- การบริหารจัดการลูกค้าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
- แนวทางการบริหารจัดการ
กลุ่มไทยออยล์ให้ความสำคัญดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ภายใต้แนวทาง “ใส่ใจ พร้อมให้ ไม่ทิ้งกัน” ในทุกด้าน ทั้งด้านการเข้ารับผลิตภัณฑ์ การบริการ และการดำเนินการในโครงการต่างๆ ให้กับลูกค้า เพื่อที่จะเติบโตไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และบริการตามกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบทางลบต่อลูกค้าและสังคม ภายใต้หลักเกณฑ์การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, and Governance: ESG) มากไปกว่านั้น บริษัทฯ รับฟังเสียงลูกค้าและดำเนินการนำไปพัฒนาปรับปรุงอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ยังคงดำเนินการตามแผนงาน Partner for Life เพื่อสนับสนุนการบริการลูกค้าใน 3 ด้าน ดังนี้
- 1. Partner for Growth มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาของลูกค้า (Customer Pain Point Handling) นำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์/ บริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ การบริการ และการมีส่วนร่วมทางธุรกิจกับลูกค้า (Customer Expectations) พร้อมทั้งมีระบบ Voice of Customer (VOC) ที่รับฟังความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะจากลูกค้า รวมถึงการขยายผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตในโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ในอนาคต
- 2. Partner for Knowledge การให้ความรู้เชิงวิชาการและสนับสนุนองค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ (Knowledge Sharing) ทั้งในด้านเทคนิคและการดำเนินงาน (Technical and Operation) และด้านการค้า (Commercial) รวมถึงการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การตลาด ทั้งผลิตภัณฑ์น้ำมัน ปิโตรเคมี น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังมีแค็ตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (E-Product Catalogue) เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไทยออยล์ได้หลากหลายมากขึ้น
- 3. Partner for Service การดำเนินงานด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง (Customer Relations Management: CRM) โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
- 1. ด้านปฏิบัติการ (Operation) ดำเนินการยกระดับประสิทธิภาพในการให้บริการและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดทำมาตรฐานด้านผลิตภัณฑ์และการให้บริการในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ร่วมกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านงานขาย ด้านคุณภาพ ด้านปฏิบัติการ ด้านแผนการจัดส่ง ด้านบัญชี ด้านสนับสนุนการขาย ด้านดิจิทัล และด้านบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ตั้งแต่รับคำสั่งซื้อ การบริหารจัดการให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ครบถ้วน ถูกต้องตามเวลาที่กำหนด ตลอดจนรับเรื่องร้องเรียนและติดตามแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด (Service Level Agreement: SLA) โดยทุกหน่วยงานปฏิบัติตามข้อตกลงมาตรฐานการให้บริการของแต่ละหน่วยงานได้ร้อยละ 100
- 2. ด้านวิเคราะห์ (Analytic) ดำเนินการภายในระบบ VOC และการสำรวจผลความพึงพอใจและความผูกพันกับลูกค้า ผ่านการรับฟังความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะจากลูกค้า เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
- 3. ด้านความร่วมมือร่วมกัน (Collaboration) ดำเนินการแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Heat Transfer Oil: HTO) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติและประเภทของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนวิธีการนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับกลุ่มธุรกิจของลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย (Potential Customer) โดยมีการซื้อขายแล้ว อีกทั้งบริษัทฯ ได้เปิดให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังคลังน้ำมันขอนแก่น เป็นคลังน้ำมันแห่งใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีท่อขนส่งน้ำมันเชื่อมต่อสถานีคลังน้ำมันสระบุรีถึงสถานีคลังน้ำมันขอนแก่น ซึ่งการขนส่งด้วยระบบท่อขนส่งน้ำมันจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการขนส่ง ซึ่งเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมและดูแลสังคม
4. ด้านการจัดเก็บฐานข้อมูล (Customer Data Platform) ดำเนินการภายใต้ระบบ Platform ที่เป็นมาตรฐานสากล สำหรับจัดเก็บฐานข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินงานด้านเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
โครงการที่โดดเด่น
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำโครงการ “ใส่ใจ พร้อมให้ ไม่ทิ้งกัน” เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ได้แก่
การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมและจิตอาสา ผ่านโครงการ “คุณริเริ่ม เราเติมเต็ม” ด้วยรูปแบบการทำกิจกรรมเพื่อสังคม TEAM SPIRIT ร่วมกับลูกค้า (CRM and CSR Integration Activity) | |
การจัดกิจกรรมให้กับพนักงานขับรถ (Happy Hours) ประจำปี 2566 เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีจ่ายน้ำมัน ผู้ประสานงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ห้องตั๋ว และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง | |
การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ เช่น Fundamental of Refinery Process และ Business Overview & Refinery Overview เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาพรวมธุรกิจของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมากยิ่งขึ้น |
ผลการดำเนินงานปี 2566
จากการดำเนินงานด้านต่างๆ ครอบคลุมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการให้บริการ ส่งผลให้การประเมินควาผูกพันของลูกค้าต่อกลุ่มไทยออยล์ดีกว่าเป้าหายที่ตั้งไว้
Update : กุมภาพันธ์ 2567