Skip links

การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

การบริหารจัดการสายโซ่อุปทาน

ความท้าทาย ความเสี่ยง

และผลกระทบ

การจัดซื้อจัดจ้างของกลุ่มไทยออยล์ได้ให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน เนื่องจากต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับคู่ค้าจำนวนมากทั้งภายในและภายนอกประเทศ

ทำให้การดำเนินงานต้องพิจารณาถึงโอกาสและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการ (Governance) หรือ ESG ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสียและมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืน นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม หน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างจึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินความเสี่ยงด้านต่างๆ ของกลุ่มงานสินค้าและบริการทั้งหมดเป็นประจำสม่ำเสมอ อาทิเช่น ความเสี่ยงด้านอุปทาน (Supply Risks) ความเสี่ยงด้านความยั่งยืน (Sustainability Risks) เป็นต้น ทำให้สามารถทราบความเสี่ยงและความท้าทายที่จะเกิดขึ้น โดยประเด็นความท้าทายที่พบ อาทิ คู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้านความยั่งยืนสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อบริษัทฯ จึงจำเป็นต้องดำเนินการปิดประเด็นความเสี่ยงด้านความยั่งยืนของคู่ค้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง นอกจากนี้ หากตรวจพบในภายหลังและอยู่ในระหว่างการดำเนินงานตามสัญญา บริษัทฯ จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับคู่ค้า หากพบว่ามีประเด็นจริง จะขอให้คู่ค้าแก้ไขประเด็นที่ตรวจพบทันที โดยกำหนดแผนงานและระยะเวลาที่ชัดเจน เป็นต้น

นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีความเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจร้องเรียนในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง บริษัทฯ มีช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจนให้แก่คู่ค้า ประกาศอยู่บนเว็บไซต์ของไทยออยล์และมีการกํากับดูแลผ่านกระบวนการตรวจสอบภายในเพื่อแสดงความโปร่งใสในการดําเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม

ความมุ่งมั่น และเป้าหมาย

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนตามกรอบการบริหารจัดการความยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์ ซึ่งคำนึงถึงการดำเนินกิจการอย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ (Economic) สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการ (Governance)

ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจตามหลักการงานจัดซื้อจัดจ้างคือ ความโปร่งใส (Clear) เป็นธรรม (Fair) อย่างมืออาชีพ (Professional) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลตามหลักการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน (ISO 20400: Sustainable Procurement) ช่วยลดโอกาสของการหยุดชะงักทางธุรกิจและการดำเนินงานที่ล่าช้า อันเนื่องมาจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด อีกทั้งยังเป็นการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สร้างประโยชน์ในระยะยาวสำหรับกลุ่มไทยออยล์และคู่ค้า และส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสีย จึงได้กำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับดัชนีวัดประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร ดังนี้

เป้าหมาย

คู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Supplier หรือ Significant Supplier) ที่ตอบรับ SCOC

เป้าหมายปี 2567

100%

เป้าหมายระยะยาวปี 2569

100%

คู่ค้าหลัก (Key Supplier) ที่ตอบรับ SCOC

เป้าหมายปี 2567

85%

เป้าหมายระยะยาวปี 2569

90%

คู่ค้ารายใหม่ที่ผ่านการขึ้นทะเบียน ตอบรับ SCOC

เป้าหมายปี 2567

100%

เป้าหมายระยะยาวปี 2569

100%

แนวทางการบริหารจัดการและผลการดำเนินงาน

กลุ่มไทยออยล์ให้ความสำคัญต่อการเปิดเผยผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใสผ่านการรายงานและการติดตามตรวจสอบความสำเร็จตามเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จากการประเมินประเด็นที่สำคัญต่อความยั่งยืน (Materiality Assessment) ไทยออยล์ได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในระยะยาวของ 3 เรื่องสำคัญ (Material issue) ซึ่งส่งผลกระทบต่อองค์กรสูงที่สุดและสามารถสร้างคุณค่าต่อองค์กรในระยะยาว ดังนี้

เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน กลุ่มไทยออยล์ได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านงานจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ปี 2565-2569 ดังนี้
ทิศทางกลยุทธ์สู่ความเป็นเลิศด้านงานจัดซื้อจัดจ้าง ปี 2565-2569

1. ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (Business Excellence)

สร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง พร้อมทั้งนำเทคโนโลยี มาใช้ในการทำงานให้สะดวกและมีประสิทธิภาพเพื่อตอบโจทย์การทำงานที่ทันสมัย ได้แก่
  • พัฒนา Procurement One Platform บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและการทำงานที่อยู่บนหลายระบบรวมเข้าสู่แพลตฟอร์มเดียวกัน ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์การทำงานที่ทันสมัย
  • พัฒนาแพลตฟอร์มกลยุทธ์กลุ่มงานจัดหาสินค้าและบริการ (Category Development) เพิ่มความแข็งแกร่งโดยดำเนินการผ่าน Procurement Management Review (PMR) ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลดต้นทุนค่าใช่จ่ายจากการจัดซื้อสินค้าและบริการ

2. พันธมิตรทางธุรกิจและความยั่งยืน (Sustainability & Partnership Enrichment)

ยกระดับความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ กับคู่ค้าควบคู่ไปกับงานจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นเลิศและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน เพื่อให้เกิดการเพิ่มคุณค่าด้าน ESG และนวัตกรรมร่วมกัน ได้แก่

  • ยกระดับ ESG (ESG Enhancement) ผ่านความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อบูรณาการให้ ESG เป็นส่วนหนึ่งของงานจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมยกระดับการสร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าเพื่อเพิ่มคุณค่าด้าน ESG ร่วมกัน
  • สนับสนุนกลยุทธ์เศรษฐกิจหมุนเวียนของบริษัทฯ “Thaioil CE WE GO” ในส่วน Green Procurement  โดยจัดซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้คู่ค้าพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
  • Long-Term Partnerships ส่งเสริมความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อการเติบโตร่วมกันในระยะยาว โดยมุ่งเน้นกลุ่มคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ และความร่วมมือจัดหาร่วมกันระหว่างบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพิ่มอำนาจในการเจรจาต่อรอง

กลยุทธ์การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

ใช้หลัก 4Ps (People, Patronage, Platform, Partnership) ร่วมกับ Positive (Professionalism, Ownership and Commitment, Social Responsibility, Integrity, Teamwork and Collaboration, Innovation, Vision Focus and Excellence Striving) ซึ่งเป็นค่านิยมของบริษัทในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อให้ประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 4Ps ประกอบด้วย

1. People บุคลากรของหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้าง ผู้มีส่วนได้เสียภายในองค์กร และคู่ค้า จะได้รับการพัฒนาศักยภาพเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืน (ESG) ของบริษัทฯ
2. Patronage การส่งมอบคุณค่า เพื่อตอบสนองความต้องการของคู่ค้า
3. Platform การนำระบบที่น่าเชื่อถือและใช้งานทั่วโลก อาทิ ระบบ SAP Ariba, DocuSign มาใช้ในการดำเนินธุรกิจกับคู่ค้า เพื่อเพิ่มความถูกต้อง รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และตอบโจทย์รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป (Digital Workplace)
4. Partner การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ และได้กำหนดตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน (KPI) ให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดขององค์กร

ทั้งนี้ ได้สร้างรากฐานการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทาง ESG และนำมาตรฐานแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน (ISO 20400: Sustainable Procurement Guidance) มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอีกด้วย และ การดำเนินงานร่วมกับคู่ค้าและโครงการด้าน ESG ที่สำคัญได้รายงานต่อผู้บริหารและคณะกรรมการบริษัทฯ ผ่านคณะกรรมการบริษัทชุดย่อย ได้แก่ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (CG BOD Committee) รับทราบเป็นประจำทุกปี

นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังได้ดำเนินการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain Management) โดยบูรณาการแนวปฏิบัติด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับการดำเนินงานภายในห่วงโซ่อุปทาน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน พร้อมสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคู่ค้าและผู้มีส่วนได้เสีย สุดท้ายนี้ การดำเนินการนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ ได้รับมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันยังสามารถสร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย โดยกระบวนการบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์ (Thaioil Group’s Sustainable Supply Chain Management Process) ทางกลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการผ่าน Supplier ESG Program ซึ่งมีหมด 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

1. Supplier Portfolio Management

เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดซื้อสินค้าและบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กรจึงเริ่มต้นด้วยขั้นตอนการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของคู่ค้าที่
กลุ่มไทยออยล์ทำธุรกิจด้วย โดยขั้นตอนนี้จะรวมถึงการส่งเสริมให้คู่ค้าดำเนินงานภายใต้แนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Sustainable Code of Conduct for Suppliers of Thaioil  Group: SCOC) ซึ่งครอบคลุม 3 มิติ ได้แก่ มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติด้านสังคม (Social) และมิติด้านการกำกับดูแลกิจการ (Governance) ซึ่งเป็นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน ส่งเสริมความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และการเติบโตร่วมกันในระยะยาว โดยคู่ค้ารายใหม่ทุกรายที่ขึ้นทะเบียนผ่านระบบต้องตอบรับ SCOC และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าเข้าใจในแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ กลุ่มไทยออยล์จึงได้มีการสื่อสารแนวทาง SCOC ดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ของไทยออยล์และงานสัมมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ประจำปี

แนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ฉบับปี 2566 

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง และเพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าเข้าใจในแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ กลุ่มไทยออยล์จึงได้มีการสื่อสารแนวทาง SCOC ดังกล่าว ผ่านเว็บไซต์ของไทยออยล์และงานสัมมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ประจำปี

กลุ่มไทยออยล์มีกระบวนการคัดเลือกคู่ค้าผ่านระบบ Ariba ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกคู่ค้าผ่านแบบประเมินคุณสมบัติคู่ค้าเบื้องต้น ทั้งด้านคุณภาพของสินค้าและบริการ สถานะทางการเงินของคู่ค้า รวมไปถึงหลักเกณฑ์ด้านการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ อันได้แก่ ข้อมูลด้านการจัดส่ง การบริหารจัดการด้านความปลอดภัย การยอมรับแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) และผลการตรวจประเมินจากบุคคลภายนอกที่น่าเชื่อถือ (Third Party) เช่น ISO9001, ISO14001, ISO/IEC17025, OHSAS18001, ISO50001 เป็นต้น อีกทั้ง สำหรับคู่ค้าที่มีความเสี่ยงทางด้านการกำกับดูแลกิจการได้มีกระบวนการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการป้องกันการคอร์รัปชันของบริษัทคู่ค้า เช่น คู่ค้าที่ต้องดำเนินการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น

2. Supplier Screening

กลุ่มไทยออยล์มีการจัดกลุ่มประเภทของคู่ค้าทางตรง (Tier-1 Supplier Classification) เพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกลุ่มสินค้าและบริการ โดยพิจารณาจากความเกี่ยวข้องทางธุรกิจ (Business Relevance Analysis) ทำการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย (Spending Analysis) และความเสี่ยงด้านอุปทานและทางด้านความยั่งยืน (The Combination of Sustainability Risk and Supply Risk) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่กลุ่มไทยออยล์ใช้สำหรับการหาโอกาสในการลดต้นทุน บริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการจัดหาคัดเลือกคู่ค้า ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่ายขององค์กรทั้งยังช่วยผลักดันในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามสัญญา และการจัดการต้นทุนอีกด้วย
ทั้งนี้ การประเมินความเสี่ยงด้านความยั่งยืน (Sustainability Risk) จะครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) โดยจะวิเคราะห์ความเสี่ยงตามประเทศ (Country-Specific Risk) ความเสี่ยงตามลักษณะธุรกิจ/อุตสาหกรรม (Sector-Specific Risk) และความเสี่ยงตามกลุ่มสินค้าและบริการ (Commodity-Specific Risk) ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน (ISO20400: Sustainable Procurement) จากนั้นจะนำความเสี่ยงมาวิเคราะห์เพื่อสรุปความเสี่ยงด้านความยั่งยืนของคู่ค้าแต่ละราย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความยั่งยืนที่อาจเกิดขึ้นได้ และใช้ในการคัดเลือกคู่ค้าเพื่อเข้าสู่การตรวจประเมินต่อไป (Supplier Assessment)

นอกเหนือจากนี้ ยังมีการจัดกลุ่มคู่ค้าทางตรงที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์ (Significant Tier-1 Supplier) ซึ่งเป็นคู่ค้าที่จัดหาสินค้าหรือบริการให้กับกลุ่มไทยออยล์โดยตรง ซึ่งมีเกณฑ์การคัดเลือกดังนี้

  • เป็นคู่ค้าอยู่ในกลุ่มคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic/Critical Suppliers) มีความสำคัญต่อธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์อยู่ในระดับสูง
  • เป็นคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้าน ESG ระดับสูงขึ้นไป (Very High/High ESG Risk Suppliers)

สุดท้ายนี้ กลุ่มไทยออยล์ยังให้ความสำคัญกับคู่ค้าทางอ้อมที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์ (Significant Non-Tier 1 Supplier) คือ คู่ค้าที่ไม่ได้จัดจำหน่ายสินค้าและบริการแก่กลุ่มไทยออยล์โดยตรง แต่จัดจำหน่ายสินค้าและบริการที่มีความสำคัญต่อคู่ค้าทางตรงที่มีนัยสำคัญของไทยออยล์

Supplier Screening Process

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีผลการดำเนินการตรวจประเมินด้านความยั่งยืนกับคู่ค้า ดังนี้

3. Source to Contract Process

กลุ่มไทยออยล์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนและมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน จึงได้นำหลักการ ESG มาบูรณาการเข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าจะดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์อย่างเคร่งครัด อาทิ

  • มีการกำหนดเกณฑ์หรือคุณสมบัติด้านความยั่งยืนเข้าไปในเอกสารหรือข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อลดความเสี่ยงด้าน ESG ที่อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในช่วงระหว่างการจัดหาสินค้าและบริการ
  • มีการนำข้อกำหนดด้าน ESG เข้ามาใช้ในขั้นตอนการทำสัญญาเพื่อให้มั่นใจว่าคู่ค้าจะปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความยั่งยืนตลอดระยะเวลาของสัญญา และหลังลงนามสัญญา ยังมีการตรวจสอบคู่ค้าตลอดอายุสัญญาว่า คู่ค้ายังมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับข้อกำหนดด้าน ESG ของกลุ่มไทยออยล์ และมีการทบทวนประสิทธิภาพด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง
  • มีการประเมินผลการปฎิบัติงานของคู่ค้าหลังจากส่งมอบสินค้าและบริการตามความสำคัญของสินค้าและบริการ  โดยเกณฑ์การประเมินจะครอบคลุมประเด็นด้านความยั่งยืน อาทิ การบริหารจัดการทางด้านความมั่นคง ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และอาชีวอนามัย (Security Safety Health and Environment: SSHE) การบริหารจัดการด้านความยั่งยืน (ESG) การปฏิบัติตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าและบริการ และการจัดส่งสินค้าอันตราย (Hazardous Goods) เป็นต้น

Source to Contract Process

4. Supplier Assessment and Development

4.1 การตรวจประเมินคู่ค้า (Supplier Assessment)

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นในการดำเนินการตรวจประเมินด้านความยั่งยืนกับคู่ค้าและสนับสนุนให้คู่ค้าได้แสดงถึงศักยภาพการบริหารจัดการด้าน ESG โดยกลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำแผนระยะยาวสำหรับการเข้าตรวจประเมินคู่ค้าเชิงกลยุทธ์แบบเชิงรุก ซึ่งเป็นผลมาจากการวิเคราะห์คู่ค้าที่มีความเสี่ยงต่อการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานและบรรลุเป้าหมายการตรวจประเมินคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ที่ต้องได้รับการเข้าตรวจประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ให้ครบร้อยละ 100 ภายในปี 2569

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการตรวจประเมินด้านความยั่งยืนกับคู่ค้า ดังนี้

1. Supplier Desk Assessment ตรวจสอบใบรับรองและรายงานการตรวจประเมินจากหน่วยงานอิสระหรือสถาบันรับรองที่น่าเชื่อถือ (Independent Accredited Auditing Body) ที่เข้าตรวจประเมินคู่ค้า เช่น ISO14001, ISO50001, ISO45001, OHSAS18001, ISO9001, ISO17025, ISO27001, ประเมินโรงงานอุตสาหกรรมสีเขียวโดยกระทรวงอุตสาหกรรม และการรับรองจากโครงการ CAC โดย Thai Private Sector Collective Action Against Corruption, Corporate Social Responsibility, Department of Industrial Work Award (CSR-DIW Award) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น


2. Supplier On-Site Assessments กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการตรวจประเมินด้านความยั่งยืนภาคสนามกับคู่ค้า โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

    • 2nd Party Supplier On-site Assessments การตรวจประเมินภาคสนามโดยหน่วยงานภายในของกลุ่มไทยออยล์ เช่น การตรวจประเมินการจัดการของเสีย (Waste Management Audit) ที่บริษัทคู่ค้า โดยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมกลุ่มไทยออยล์, การตรวจประเมินด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (Security, Safety, Occupational Health, Environment: SSHE) ขณะที่คู่ค้าปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ โดยหน่วยงานด้านความปลอดภัยกลุ่มไทยออยล์ และการตรวจประเมินการดำเนินงานตามสัญญาและข้อกำหนดต่างๆ ขณะที่คู่ค้าปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ โดยหน่วยงานผู้ใช้งาน หน่วยงานปฏิบัติการ และหน่วยงานความปลอดภัย และยิ่งไปกว่านั้น สำหรับงานซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Turn Around: MTA) จะมีผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มไทยออยล์เข้าตรวจประเมินภาคสนามร่วมกับคู่ค้า หรือที่เรียกว่า Management Site Walk เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคู่ค้าที่มีนัยสำคัญได้ปฏิบัติงานสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC)
    • 3rd Party Supplier On-site Assessments การตรวจประเมินภาคสนามโดยหน่วยงานอิสระหรือสถาบันรับรองที่น่าเชื่อถือ (Third Party Auditing Organizations that are Accredited by the Standard-Setting Organization) ซึ่งในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ได้ให้สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม (สรอ.) เข้าตรวจประเมินการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนกับคู่ค้าที่มีความเสี่ยงทางด้านความยั่งยืน (ESG) และ/หรือ คู่ค้าที่สำคัญเชิงกลยุทธ์ (Strategic/Significant Supplier) ณ พื้นที่ปฏิบัติงานของคู่ค้า โดยใช้แบบประเมินที่พัฒนามาจากมาตรฐาน ISO20400 แนวทางการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการ (Governance)

หลังจากการตรวจประเมินกับคู่ค้าแล้ว หากพบว่าคู่ค้าไม่ผ่านเกณฑ์การตรวจประเมิน ทางกลุ่มไทยออยล์จะแนะนำแนวทางการแก้ไขและการปรับปรุง (Corrective and Improvement Actions) ให้แก่คู่ค้าทั้งในรูปแบบการประชุมออนไลน์หรือที่บริษัทคู่ค้า (Remote/On-site) พร้อมจัดส่งแบบฟอร์มการบันทึกแผนการแก้ไขข้อบกพร่อง (Corrective Action Plan: CAP) ให้แก่คู่ค้าเพื่อให้คู่ค้าได้ดำเนินการแก้ไขได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งคู้ค่าจะต้องบันทึกข้อบกพร่อง (Non-compliance Issues) สาเหตุของปัญหา (Root Causes) วิธีการแก้ปัญหา (Solid Solutions) และระบุวันที่ที่คาดว่าจะแก้ไขเสร็จสิ้น (Deadline) จากนั้นทางคู่ค้าจะต้องดำเนินการส่ง CAP ให้แก่กลุ่มไทยออยล์ภายในระยะเวลาที่กำหนด และ กลุ่มไทยออยล์จะจัดประชุมกับคู่ค้าเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการ (Implementation Progress) พร้อมสนับสนุนให้คำแนะนำแนวทางพัฒนาและปรับปรุงร่วมกันต่อไป ซึ่งจะลดความเสี่ยงด้าน ESG ที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมผลักดันการปฏิบัติงานสู่ความเป็นเลิศ และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มไทยออยล์อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจระหว่างกลุ่มไทยออยล์กับคู่ค้าอีกด้วย

Supplier Assessment Process

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีผลการดำเนินการตรวจประเมินด้านความยั่งยืนกับคู่ค้า ดังนี้

4.2 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของคู่ค้า (Supplier Development and Capacity Building Program)

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับศักยภาพให้แก่คู่ค้าในการบริหารจัดการความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งครอบคลุมประเด็น ESG โดยมีการดำเนินงานดังนี้

  • สื่อสารข้อมูลความรู้และโครงการด้านความยั่งยืน (Supplier ESG Program) รวมถึงกระบวนการงานจัดซื้อจัดจ้างและความต้องการของกลุ่มไทยออยล์ให้แก่คู่ค้าเป็นประจำสม่ำเสมอผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ งานสัมมนาคู่ค้าประจำปี การฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เว็บไซต์ของไทยออยล์ ESG News ผ่านช่องทาง Facebook ของบริษัทฯ และ SRM Newsletters ผ่านช่องทางอีเมล์ เป็นต้น
  • มีการนำข้อมูลของคู่ค้าทั้งหมดที่ได้จากการตรวจประเมินมาเปรียบเทียบกัน (Supplier ESG Benchmark) ในแต่ละด้านของความยั่งยืน และจัดการประชุมเพื่อแบ่งปันข้อมูลของคู่ค้าที่มีผลการปฏิบัติงานด้านความยั่งยืนระดับดีเยี่ยมในแต่ละด้านให้แก่คู่ค้ารายอื่น และเปิดโอกาสให้มีการถามตอบระหว่างการดำเนินกิจกรรม เพื่อให้คู่ค้านำข้อมูลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในองค์กรของคู่ค้าและสนับสนุนผลระดับการปฏิบัติงานของคู่ค้าให้ดีขึ้นต่อไป
  • มีการสนับสนุนคู่ค้าในการดำเนินการตามแผนการแก้ไขข้อบกพร่องผ่านช่องทางออนไลน์ (Supplier support (remote/onsite) on implementation of corrective/improvement actions) พนักงานจัดซื้อจัดจ้างของกลุ่มไทยออยล์จะดำเนินการจัดการประชุมกับคู่ค้าเพื่อติดตามความคืบหน้าและให้คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงเพิ่มเติมผ่านระบบออนไลน์ เพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาการดำเนินการแก้ไขแผนปรับปรุง เพื่อให้คู่ค้าสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
  • มีการจัดโปรแกรมสนับสนุนทางด้านเทคนิคเชิงลึกเพื่อสร้างความสามารถและประสิทธิภาพ ด้าน ESG ให้กับคู่ค้า (In-depth technical support programs to build capacity and ESG performance) เพื่อปรับปรุงแนวทางปฏิบัติงานและประสิทธิภาพขอคู่ค้าอย่างเป็นระบบ ในหัวข้อ ด้าน ESG ผ่านการฝึกอบรม การประเมินเบื้องต้น การพัฒนาระบบร่วมกัน และการวัดผล เพื่อเพิ่มศักยภาพของคู่ค้าในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว ด้วยแนวทางปฏิบัติที่เป็นระบบ

ในปี 2567 ได้มีการสื่อสารข้อมูลและจัดโปรแกรมด้านความยั่งยืนให้แก่คู่ค้า เช่น

งานสัมมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี โดยในปี 2567 ได้จัดงานในรูปแบบ Hybrid เพื่อสื่อสารวิสัยทัศน์ของกลุ่มไทยออยล์และสถานการณ์ในปัจจุบันตั้งแต่วิสัยทัศน์และทิศทางกลยุทธ์กลุ่มไทยออยล์, แผนงานจัดซื้อจัดจ้างกลุ่มไทยออยล์ ปี 2568, การบริหารจัดการความยั่งยืนกลุ่มไทยออยล์, กลยุทธ์ 3Vs (Value Maximization, Value Enhancement, Value Diversification)) แนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Sustainable Code of Conduct for Suppliers of Thaioil Group: SCOC) อีกทั้งยังมีบูธกิจกรรมในการให้ความรู้ด้าน ESG ต่างๆ อาทิ ข้อมูลด้านคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม (QSHE) ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) และการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) และ ESG Best Practices โอกาสและความท้าทายของห่วงโซ่อุปทานกับการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) และ Best Practicesเป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อให้คู่ค้ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความยั่งยืน นำความรู้ที่ได้รับในการสัมมนาครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในบริษัทของคู่ค้า และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์

SSHE Contractor Workshop for Incident Preventionโปรแกรมการบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม (SSHE) ซึ่งเป็นการยกระดับศักยภาพด้าน SSHE ให้แก่คู่ค้าและมีการติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องร่วมกันระหว่างกลุ่มไทยออยล์กับคู่ค้า โดยโปรแกรมนี้มีการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2564 เป็นโปรแกรมการพัฒนาศักยภาพด้านเทคนิคเชิงลึก (In-depth Technical Capacity Development Program) โดยมีกระบวนการพัฒนาอย่างเป็นระบบผ่าน 5 ขั้นตอน ได้แก่ Coach, Up & Re-Skills, Control, Recognize และ Share

การจัดอบรมคู่ค้าเพื่อขอการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือกับกลุ่มปตท. ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี จะดำเนินการอบรมทั้งภาคทฤษฎีแบบออนไลน์และเชิงปฏิบัติการตลอดทั้งปีให้แก่คู่ค้า โดยสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม (สรอ.) เพื่อผลักดันและสนับสนุนให้คู่ค้าดำเนินกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การจัดอบรมความรู้ด้าน ESG ให้แก่คู่ค้า โดยที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คู่ค้ามีความรู้ความเข้าใจและประยุกต์ความรู้ด้านความยั่งยืนไปในกระบวนการทำงานและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นหนึ่งใน (In-depth technical support programs to build capacity and ESG performance)

โปรแกรมการอบรมระบบงานจัดซื้อจ้าง (E-procurement Training Program) ได้แก่ SAP Ariba Network สำหรับการขึ้นทะเบียนคู่ค้า การยื่นข้อเสนอ (Online Proposal Submission) และการรับใบสั่งซื้อสั่งจ้าง (Online PO) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมจากการใช้กระดาษมาใช้ระบบ โดยโปรแกรมนี้จะครอบคลุมระบบต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด และแยกการอบรมตามระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานของคู่ค้า

PTT Group CG Day โครงการความร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คู่ค้ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) โดยในปี 2567 ได้เชิญคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ จำนวน 2,064 ราย เข้าร่วมงานนี้ ผ่านระบบ Online

การสื่อสารผ่านกิจกรรมสานสัมพันธ์ เพื่อให้ได้คู่ค้าได้รับทราบ เข้าใจ และปฏิบัติตามเจตนารมณ์ด้านความโปร่งใสในงานจัดซื้อจัดจ้างกลุ่มไทยออยล์ อาทิ นโยบายการงดรับของขวัญและของกำนัล (No Gift Policy) เป็นต้น

การตรวจประเมินด้านความยั่งยืน (ESG) ภาคสนามประจำปี 2567 หรือ Supplier ESG On-Site Assessment 2567)พื้นที่ปฏิบัติงานของคู่ค้า โดยกลุ่มไทยออยล์ร่วมกับสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) เพื่อให้คู่ค้าได้รับคำแนะนำและสามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนาด้านความยั่งยืน (ESG) ต่อไป หลังจากจบการตรวจประเมิน ได้มีพิธีมอบประกาศนียบัตรแก่คู่ค้าที่เข้าร่วมการตรวจประเมินและมีการแบ่งปันองค์ความรู้จากบริษัทคู่ค้าที่มีผลการประเมินสูงสุดในแต่ละมิติของ ESG อีกด้วย

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานกลุ่มไทยออยล์

นโยบายและกลยุทธ์การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนจะดำเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น บุคลากรของหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้เสียภายในองค์กร จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพด้านการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนผ่านการฝึกอบรมและกิจกรรมต่างๆ อาทิเช่น การเข้าร่วมอบรมการพัฒนาการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนตามแนวทางมาตรฐาน ISO 20400 (Sustainable Procurement) ซึ่งครอบคลุมเรื่องการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับนโยบาย กลยุทธ์ วัตถุประสงค์ และกระบวนการด้านจัดซื้อจัดจ้างขององค์กร (Integrating Sustainability into Procurement Policy, Strategies and E2E Process) การจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความยั่งยืน (Organizing the Procurement Function towards Sustainability) และโปรแกรมด้านความยั่งยืนกับคู่ค้า (Supplier ESG Program) เป็นต้น เพื่อให้บุคลากรของหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้าง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้เสียภายในองค์กรมีความรู้ความเข้าใจบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองในงานจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้งานจัดซื้อจัดจ้างตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีผลการดำเนินการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่พนักงานกลุ่มไทยออยล์ดังนี้

โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการจัดซื้อจัดจ้างผ่านการฝึกอบรม ทั้งหมด 547.52 ชั่วโมง
1. สิทธิมนุษยชนเพื่อความยั่งยืน: นโยบายสิทธิมนุษยชนของกลุ่มไทยออยล์
2. สิทธิมนุษยชนเพื่อความยั่งยืน: การตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน (การประเมินความเสี่ยง)
3. การประชุมเชิงปฏิบัติการ กลยุทธ์ความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานประจำปี 2567
4. การตรวจคัดกรองคู่ค้า (Supplier Screening Tool)
5. การพัฒนาอย่างยั่งยืน
6. การพัฒนาผู้ตรวจประเมินศักยภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของผู้ค้ากลุ่ม ปตท. (PTT Group ESG Auditor) ภาคทฤษฎี
7. การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การพัฒนาการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนตามแนวทางมาตรฐานสากล ISO20400
8. การพัฒนาความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน (Sustainable Supply Chain Development Program)
9. กลยุทธ์สู้ความยั่งยืนทางธุรกิจ (Sustainable Business in Action)
10. พื้นฐานการจัดการห่วงโซ่อุปทานสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน (Supply Chain 101)
11. การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาผู้ตรวจประเมินศักยภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของผู้ค้ากลุ่ม ปตท. (PTT GROUP ESG AUDITOR) ภาคทฤษฎี ประจำปี 2567
12. PC Sharing Session: DJSI and ISO 20400
13. SCOC 2024 and Tips & Tricks of Supplier Registration

5. Supplier Phase Out

กลุ่มไทยออยล์มีการตรวจสอบคู่ค้าตลอดอายุสัญญาว่าคู่ค้ายังมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับข้อกำหนดด้าน ESG ของกลุ่มไทยออยล์ และมีการทบทวนประสิทธิภาพด้าน ESG ของคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง และหากในกรณีที่คู่ค้าไม่สามารถบรรลุข้อกำหนดขั้นต่ำด้าน ESG ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ คู่ค้าเหล่านั้นจะถูกพิจารณาในการถูกระงับการดำเนินงานร่วมกับกลุ่มไทยออยล์หรือถูกระบุรายชื่ออยู่ในบัญชีดำ

6. การมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของคู่ค้า

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ยังดำเนินการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ “E-procurement” อย่างต่อเนื่องเพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส (Clear) เป็นธรรม (Fair) อย่างมืออาชีพ (Professional) โดยได้รับความร่วมมือจากคู่ค้ามากขึ้น และทำให้คู่ค้าได้รับประโยชน์ ลดต้นทุน ประหยัดเวลาในการเดินทาง ส่งผลต่อความพึงพอใจของคู่ค้า รวมไปถึงการนำระบบเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือ มาใช้ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง อาทิ นำระบบ SAP Ariba มาใช้ในการขึ้นทะเบียนคู่ค้า การยื่นซองประกวดราคา การรับใบสั่งซื้อสั่งจ้างแบบออนไลน์ และนำระบบ DocuSign มาใช้ในการลงนามสัญญาแบบ Digital Signature และได้มีจัดการฝึกอบรมคู่ค้าในการใช้งานระบบระบบ SAP Ariba อีกด้วย

กลุ่มไทยออยล์ยังผลักดันการยืนยันใบสั่งซื้อแบบออนไลน์ (Online PO) แก่คู่ค้าอย่างต่อเนื่องผ่านระบบ E-procurement ให้มากที่สุด เพื่อช่วยลดขั้นตอนระหว่างกัน เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วให้แก่คู่ค้า พร้อมสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม จนถึงปัจจุบัน สามารถลดการใช้กระดาษไปได้ประมาณ 164,784 แผ่น/ปี หากคิดตั้งแต่เริ่มใช้ระบบจะลดได้ประมาณ 1,100,628 แผ่น จากการทำธุรกรรมผ่าน Online PO นำไปสู่การใช้ทรัพยากรและพลังงานที่ลดลง

นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องร่วมกัน กลุ่มไทยออยล์ได้สำรวจความคิดเห็นคู่ค้าที่เคยยื่นซองประกวดราคาผ่านระบบ E-procurement (Online Bid Submission) พบว่าคู่ค้าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อระบบอย่างมาก เนื่องจากช่วยลดต้นทุนแก่คู่ค้า เมื่อเทียบกับการยื่นชองแบบเดิมในแต่ละครั้ง ลดได้ประมาณครั้งละ 2,811.37 บาทและประหยัดเวลาในการเดินทางมา
ยื่นซอง ประมาณ 6.10 ชั่วโมง

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์มีผลการดำเนินการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่คู่ค้า ดังนี้

เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ทราบถึงความต้องการของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ได้สร้างการมีส่วนร่วม การสื่อสาร และการรับฟังข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ โดยการสำรวจมุมมองของคู่ค้าที่มี
ต่อกลุ่มไทยออยล์ ในมุมมองหลักการบริหารงานจัดซื้อจัดจ้าง การบริการ ความโปร่งใสและยุติธรรม ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ได้นำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาบูรณาการเข้ากับกระบวนการตัดสินใจและดำเนินการของบริษัทฯ ในปี 2567 ไทยออยล์ได้ดำเนินการสำรวจมุมมองและความคิดเห็นของคู่ค้าผ่านบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในงานวิจัย พบว่า ผลการสำรวจมุมมองของคู่ค้าต่อการดำเนินงานร่วม
กับกลุ่มไทยออยล์ มีดังนี้

เอกสารดาวน์โหลด

Thaioil Group's Supply Chain Management

นักลงทุนสัมพันธ์

ข่าวสารและประกาศ

ติดต่อเรา

ร่วมงานกับเรา

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรก โดยผนวกเนื้อหาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปฐมนิเทศสำหรับพนักงานใหม่พร้อมกับส่งมอบคู่มือ CG ผ่านระบบ CG Reporting ส่งผลให้พนักงานใหม่ได้รับการสื่อสารข้อมูลและฝึกอบรม ครบร้อยละ 100 

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ อาทิ Fundamental of Refinery Process และ Business Overview & Refinery Overview เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาพรวมธุรกิจของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และสถานการณ์ตลาดมากยิ่งขึ้น

การจัดกิจกรรม "Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567

การจัดกิจกรรม “Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567 เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีจ่ายน้ำมัน ผู้ประสานงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ห้องตั๋วและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity”

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity” ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ของชาติ รวมถึงงานศิลปกรรม ร่วมกับลูกค้า ณ พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2567

Innovation Talk

เป็นกิจกรรมที่มีการเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมมาให้ความรู้กับพนักงาน เช่น อาจารย์ธงชัย โรจน์กังสดาล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด, คุณณัฐภัทร ธเนศวรกุล ที่ปรึกษาด้านการวัดระดับนวัตกรรมองค์กร จาก บริษัท ไรส์ แอคเซล จำกัด และคุณซีเค เจิง CEO ของ บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด เป็นต้น โดยในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 15 และความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 93 เป็น 94 จาก 100 คะแนนเต็ม และในแต่ละครั้งมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมาก ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

TOP BCG Updates

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ e – Mail รายเดือนเพื่อเพิ่มความรู้ทางด้าน BCG ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประกอบไปด้วยนโยบายการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ 3 ระบบของรัฐบาลไทย ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน และนวัตกรรมในการลดโลกร้อนต่าง ๆ โดยในปี 2567 ภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

TOP Innovation E-newsletter

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Mail) รายสัปดาห์ ส่งให้แก่พนักงานทุกคนในกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ และกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่นวัตกรพึงมีและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน รวมถึงการให้ข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยในปี 2567 มีการเผยแพร่บทความ TOP Innovation e-Newsletter ทั้งหมด 39 ฉบับ มียอดผู้อ่านบทความรวมกว่า 24,707 ครั้ง โดยได้คะแนนความพึงพอใจจากผู้อ่านอยู่ในระดับดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

กิจกรรม Innovation and Learning Day 2024 ประจำปี 2567

กิจกรรม Innovation Failure Challenge

กิจกรรม Innovation Roadshow

กิจกรรม Innovation Idea Challenge

Generating New Actionable Ideas through Change Agent SME
Idea Facilitation & LO Inspirer Workshop

การจัดกิจกรรม Workshop การพัฒนา Change Agent โดยคัดเลือกตัวแทนหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือก โดยกลุ่มของ Change Agent จะได้รับการพัฒนา ให้ความรู้ ทักษะ และเครื่องมือ เพื่อใช้ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมและคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ภายในหน่วยงานตนเอง

CEO Townhall และ Management Meeting

การจัดกิจกรรมการสื่อสารโดย CEO ถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อเน้นย้ำทิศทาง กลยุทธ์ รวมถึงแผนและผลการดำเนินงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงในการนำการเปลี่ยนแปลงลงมาสู่องค์กรและพนักงานทุกคน รวมถึงการรายงานความคืบหน้าของโครงการ Innovation Culture Awareness ในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นผู้บริหารระดับสูงสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง

Building Innovation Culture Awareness through Top
Management Workshop (Management Outing Workshop)

การจัดกิจกรรม Workshop สำหรับผู้บริหาร เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การสร้าง Innovation Culture Awareness ให้กับพนักงานในสายงาน/ ฝ่ายของตนเอง ผ่านพฤติกรรมหลัก “Lead to Innovation Culture” รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากรภายนอกถึงแนวคิดการสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร และการฝึกปฏิบัติการใช้พฤติกรรม i-LEAD as a Role Model

โครงการ Teach for Thailand

วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนาครูผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพปฏิบัติหน้าที่ในฐานะครูผู้ช่วยสอนนักเรียนในระดับชั้นมัธยมต้น

ประเภทโครงการ

โครงการ Teach for Thailand

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่ครูผู้สอนจำนวน 2 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ช่วยสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 

3 ที่โรงเรียนวัดมโนรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่ตั้งใกล้กับโรงกลั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งมีผลการประเมินการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจ ดังนี้
1. นักเรียนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 489 คนในปีการศึกษา 2567
2. พัฒนาการด้านวิชาการ และคุณลักษณะนิสัย และทักษะที่จำเป็นของนักเรียนปรับเพิ่มขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ย Post-test อยู่ที่ 28.51 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ย Pre-test ในภาคเรียนที่ 1 ที่ 27.57 คะแนน และพบว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างและพัฒนาคุณลักษณะนิสัยของนักเรียน ทั้งด้านความพยายาม กรอบความคิดแบบเติบโต และการเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เช่นเดียวกับการสร้างและพัฒนาทักษะที่จำเป็นของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์ ความร่วมมือ และการตระหนักรู้ในตนเอง
3. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการสอน เช่น วีดิทัศน์ บอร์ดเกม โปรแกรมออนไลน์ เป็นต้น ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการและมีทัศนคติที่ดีต่อสาขาวิชาที่เรียนมากขึ้น โดยสามารถตอบคำถาม จำแนกตัวอย่าง และทำงานร่วมกันเป็นทีมกับเพื่อนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี
4. นักเรียนส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและพัฒนาการในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5. ผู้อำนวยการและบุคลากรในโรงเรียนมีความพึงพอใจต่อครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยมีคะแนนรวมความพึงพอใจ 9.1 คะแนนจาก 10 คะแนน และเล็งเห็นว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความรู้ ความสามารถ และลักษณะนิสัยที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานในบริบทที่ท้าทาย ร้อยละ 92 นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนกันอย่างสม่ำเสมอ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำในภาคการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศผ่านการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และวางแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินกิจกรรม ภายใต้โครงการ PTT Group Model School และ CONNEXT ED ในปี 2567 ดังนี้
1. โครงการเตรียมความพร้อมสู่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) พื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การให้ความรู้แก่เยาวชนให้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) และสนับสนุนให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ IoT ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต โดยมีโรงเรียนภายใต้โครงการ CONNEXT ED ของกลุ่ม ปตท. เข้าร่วมกิจกรรม 2 แห่ง และมีครูผู้สอน 2 คน และนักเรียน 6 คน เข้าร่วมโครงการฯ
2. โครงการจิตอาสากลุ่มไทยออยล์ โดยนำพนักงานจิตอาสาไปบรรยายให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และคลินิกฟุตบอล ฟุตซอล เทเบิลเทนนิส และวอลเลย์บอล ให้แก่นักเรียนในชุมชนรอบโรงกลั่น

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศไทย และเป็นการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนในพื้นที่รอบแปลงปลูกป่า

ประเภทโครงการ

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต จำนวน 8,656.22 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น
1.  การปลูกป่า จำนวน 8,300 ไร่ในจังหวัดแพร่ ร่วมกับกรมป่าไม้
2. การปลูกป่าชายเลน จำนวน 356.22 ไร่ในจังหวัดตรังและจังหวัดชลบุรี ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ซึ่งคาดว่า จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 88,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพจากการคัดเลือกชนิดไม้พื้นถิ่นเข้ามาปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่แปลงปลูกป่า

ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้สนับสนุนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน 4 แห่ง เพื่อดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่า ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งยังให้การสนับสนุนองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ผืนป่า นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการต่อยอดอาชีพ ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

วัตถุประสงค์

เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานและสร้างนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในองค์กร

ประเภทโครงการ

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน 

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้ โครงการ Thaioil CE WE GO ในปี 2567 ดังนี้

1. จัดอบรมการฝึกอบรมสำนักงานสีเขียว (Green Office) สำหรับพื้นที่อาคารออดิทอเรียม และศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน จำนวน 2 ครั้ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนโครงการสำนักงานสีเขียว (Green Office) กับกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ให้กับศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน และอาคารออดิทอเรียม โรงกลั่นไทยออยล์
2. จัดกิจกรรมนำผู้แทนครัวเรือนนำร่อง 10 ครัวเรือนและคณะกรรมการชุมชนบ้านนาเก่าไปเยี่ยมชมการดำเนินโครงการชุมชนต้นแบบการจัดการขยะในจังหวัดระยอง

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) และสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้แก่ชุมชนและสังคม

ประเภทโครงการ

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์จัดกิจกรรมสร้างเสริมองค์ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการของเสียและการจัดการระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบุญจิตวิทยา โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 และโรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 (มูลนิธิไต้ล้ง – เช็ง พรประภา) จังหวัดชลบุรี ผ่านกิจกรรมการจัดการของเสีย 4 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ การคัดแยกขยะ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร การรีไซเคิลน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และการแปลงขยะเป็นรายได้ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 – เดือนตุลาคม 2567 พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ มีปริมาณขยะรีไซเคิลรวม 12,240.24 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 27,725 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนั้น ยังมีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ และนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในการทำกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

โครงการ "Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงการคัดแยกขยะและรีไซเคิลให้แก่นักเรียน เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม และ สนับสนุนการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะในโรงเรียนและสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืน

ประเภทโครงการ

โครงการ “Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ต่อยอดจากกิจกรรม “Thaioil Run For the Green Future 2024” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อลดขยะพลาสติกในโรงเรียน และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน โดยบริษัทฯได้ส่งมอบอุปกรณ์คัดแยกขวดน้ำพลาสติกให้โรงเรียนในพื้นที่แหลมฉบังจำนวน 8 แห่ง จากนั้น โรงเรียนจะส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติก เพื่อนำส่งให้บริษัทฯ นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ซึ่งนักเรียนสามารถนำขวดพลาสติกดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เป็นประโยชน์ เช่น ถุงเท้า อุปกรณ์การเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์ทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

วัตถุประสงค์

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบของขยะพลาสติกที่มีต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการลด ละ เลิกการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียว

ประเภทโครงการ

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จัดกิจกรรมแปรรูปขยะเป็นไม้กวาด ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ลักษณะของขยะแต่ละประเภท และร่วมประดิษฐ์ไม้กวาดจากขวดพลาสติก เพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกอันดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

วัตถุประสงค์

เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์

ประเภทโครงการ

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมสนับสนุนการปล่อยพันธุ์สัตว์ทะเลของกลุ่มประมงที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านอ่าวอุดม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเล เพื่อสร้างสมดุลทางทะเลในเขตอ่าวอุดม โดยในปี 2567 บริษัทฯ ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ อาทิ พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กุ้งขาว ลูกปูม้า หมึก ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ พร้อมทั้งร่วมเก็บขยะบริเวณชายหาดชุมชนติดชายฝั่งทะเลอีกด้วย

โครงการด้านการศึกษา

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา และสนับสนุนเยาวชนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ประเภทโครงการ

โครงการด้านการศึกษา

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาที่มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 252 ทุน และกองทุนกลุ่มไทยออยล์เพื่อสถาบันการศึกษาให้แก่สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา จำนวน 11 กองทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,900,000 บาท ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไปในพื้นที่ศรีราชา ณ ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในปี 2567 ดังนี้

1. ร่วมมือกับคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน และร่วมกิจกรรมเปิดบ้านวิชาการกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อจัดนิทรรศการแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอม โดยมุ่งเน้นการนำเสนอขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
2. จัดหลักสูตรทำเทียนหอมสำหรับจัดชุดของชำร่วย โดยใช้สแลคแว็กซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มไทยออยล์ มาเป็นวัตถุดิบ นอกจากนั้น ยังมีการจัดหลักสูตรผู้ประกอบการยุค 2024 ประกอบด้วยหลักสูตรทำเหรียญโปรยทาน และหลักสูตรสลายเศษด้วยถัง สลายมันด้วยฟอง ซึ่งเป็นการผลิตน้ำยาล้างและทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คน

โครงการเดิน - วิ่ง 1 แสนกิโล

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ชุมชนออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และได้รับองค์ความรู้ด้านสุขภาพใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองและครอบครัว

ประเภทโครงการ

โครงการเดิน – วิ่ง 1 แสนกิโล

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์เชิญชวนประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่นมาออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่งและร่วมกันสะสมระยะทาง โดยการบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “นับก้าว” ให้ได้ระยะทางรวม 100,000 กิโลเมตร โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 175 คน และมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลที่ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชนรวม 2 ครั้ง

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากของนักเรียน

ประเภทโครงการ

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ให้บริการทันตกรรม ตรวจสุขภาพช่องปาก อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรซ์ ขูดหินปูน และส่งเสริมป้องกันฟันผุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 4,520 รายที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่ง

โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ร่วมกับกลุ่ม ปตท

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในการเตรียมความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศ

กรอบการดําเนินงาน

1. ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ
2.ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ
3. ประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่นอกเหนือจาก พื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมกับกลุ่ม ปตท. บรรจุและส่งมอบถุงยังชีพกว่า 20,800 ถุง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และยารักษาโรคที่จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดแพร่ น่าน สุโขทัย พะเยา พิษณุโลก หนองคาย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

โครงการ “คุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4”

วัตถุประสงค์

ส่งเสริมค่านิยมให้พนักงานดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยจิตอาสาและส่งเสริมภาพลักษณ์การช่วยเหลือสังคม

ความเป็นมาโครงการ

พนักงานถือเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งมีการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ขณะเดียวกัน ก็มีค่านิยม “วัฒนธรรมจิตอาสา” ที่ยึดถือปฏิบัติร่วมกันมาอย่างยาวนาน จึงก่อให้เกิดโครงการจิตอาสา “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เนื่องในวาระที่ไทยออยล์กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ของการก่อตั้ง และมีการดำเนินการโครงการฯ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 เพื่อสานต่อ “วัฒนธรรมจิตอาสา” ขององค์กร

กรอบการดำเนินงาน

1. ประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ก.ค. 2567
2. เปิดโอกาสให้พนักงานดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ธ.ค. 2567
3. บริษัทฯ สนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรมจิตอาสา 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน

ผลการดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นที่จะกระตุ้นและปลูกฝังให้พนักงานมีจิตอาสาตามค่านิยมองค์กรหัวข้อ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Social Responsibility) จึงได้ดำเนินโครงการ “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริหาร พนักงานและพนักงานผู้รับเหมาเข้าร่วมกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปี 2567 มีการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Team Spirit+” โดยให้ผู้บริหารระดับสูงเชิญชวนพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาภายในสายงานร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแรงกายแรงใจของตนเอง ซึ่งกลุ่มไทยออยล์จะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน เพื่อใช้เป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ในการดำเนินงาน โดยมีพนักงานเข้าร่วมงานทั้งหมด 30 ฝ่ายงาน ภายใต้งบประมาณรวม 1,000,000 บาท โดยนำงบประมาณไปใช้จัดกิจกรรม CSR ให้แก่โรงเรียน มูลนิธิการกุศล ชุมชน และอื่นๆ

โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา (Sustainable Energy for Healthcare and Education)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้การบริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์นำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม รวมถึงประสบการณ์ด้านการจัดการพลังงานมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา มาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาเข้าถึงการใช้พลังงานทางเลือก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า และนำผลประหยัดมาต่อยอดโครงการเพื่อสังคม ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กรอบการดําเนินงาน

1. ศึกษาศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่เป้าหมาย
2. จัดทำรายงานความเป็นไปได้ (Feasibility) และความคุ้มค่าทางการลงทุน ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ร่วมกับที่ปรึกษาโครงการฯ
3. ขออนุมัติการดำเนินโครงการและงบประมาณ
4. คัดเลือกผู้รับเหมาและดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาที่ผ่านการประเมิน
5. ส่งมอบโครงการฯ
6. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอใบอนุญาต (ในกรณีที่เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 3 แห่ง และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 94 กิโลวัตต์ ซึ่งสร้างผลประหยัดเป็นมูลค่ารวม 0.9 ล้านบาทต่อปี โดยนำผลประหยัดที่ได้จากค่ากระแสไฟฟ้าที่ลดลงไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ พัฒนาระบบงานบริการสุขภาพผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs รวมทั้งสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า 51 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

โครงการดำเนินการเกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล

วัตถุประสงค์

เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความเป็นมาของโครงการ

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SBM-2) บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดตั้งคณะทำงานบริหารข้อร้องเรียน เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเดือดร้อน
2. ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบ
3. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาช่วยเหลือตามกรอบแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรม และดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
4. จัดตั้งคณะทำงานการฟื้นฟู เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ภายหลังจากการปิดรับคำร้องของผู้ได้รับผลกระทบ ปรากฏว่า มีผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 905 ราย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 58 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานการฟื้นฟูขึ้น เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงานราชการ ผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรอิสระ และ NGO กลุ่มต่างๆ รวมถึงการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ อยู่ในระหว่างการวางแผนงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

โครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้เยาวชนได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพแข็งแรง เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในอนาคต
2. ส่งเสริมให้เยาวชนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก ได้ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชชูปถัมภ์ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังทั้ง 8 โรงเรียนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก มาตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ ภายหลังได้เข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานกับสมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและเทศบาลนครแหลมฉบัง

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดประชุมร่วมกับผู้อำนวยการและคุณครูผู้ฝึกสอนกีฬาพลศึกษาของโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่งในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง ประกอบด้วยโรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม โรงเรียนวัดมโนรม โรงเรียนวัดแหลมฉบัง โรงเรียนบ้านชากยายจีน โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) และโรงเรียนบุญจิตวิทยา
2. วางแผนโครงการ พร้อมขออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
3. ดำเนินการจัดค่ายฝึกทักษะพัฒนาศักยภาพนักกีฬากระโดดเชือก เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
4. สร้างนักกีฬาหน้าใหม่ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก ซึ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง

ผลการดําเนินงานในปี 2567

1. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทานประเภทมือใหม่ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ณ ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเหรียญทองจำนวน 4 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 10 เหรียญ และเหรียญทองแดงจำนวน 4 เหรียญ นอกจากนั้น โรงเรียนบุญจิตวิทยายังได้รับถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จำนวน 4 ถ้วย และมีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับที่ 2
2. โครงการพัฒนาทักษะนักกีฬาสู่แชมป์กระโดดเชือก ประจำปี 2567 เพื่อคัดเลือกและฝึกซ้อมนักกีฬากระโดดเชือกจากโรงเรียนรอบโรงกลั่น 8 แห่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
3. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 15 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ สนามยิมเนเซียม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสนับสนุนการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยกิจกรรมนี้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 60 คน
4. นักกีฬากระโดดเชือกแหลมฉบังได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก Jump Rope China Open 2024 ณ เมืองหูเป่ย (Huaibei) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนักกีฬาตัวแทนชาวแหลมฉบังได้คว้าเหรียญทองมาได้ 2 รายการ เหรียญเงิน 1 รายการ และเหรียญทองแดง 4 รายการ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเทศบาลนครแหลมฉบัง

การรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

  •  การดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังติดตามและแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 ไม่พบผู้ติดเชื้อ เน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะที่ 1 พบผู้ต้องสงสัยหรือผู้ติดเชื้อในกลุ่มไทยออยล์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย และระยะที่ 2 พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มไทยออยล์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการกอบกู้สถานการณ์และการฟื้นฟู ต้องเปิดศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะของพนักงานและผู้รับเหมา ผ่านศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัยที่มีความพร้อมทั้งภาคทฤษฎี (Theory) และภาคปฏิบัติ (Practice) และประเมินความรู้ความสามารถของพนักงานและผู้รับเหมาที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตามระบบใบอนุญาตในการทำงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตตามบทบาทหน้าที่ ผ่านกระบวนการ Competency Assurance System
  • การยกระดับวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน ด้วย Behavior Based Safety (BBS) โดยได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร BBS ให้กับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย (Train for the Trainer) เพื่อนำไปถ่ายทอดและเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาสำหรับใช้สังเกตพฤติกรรมในการทำงานและสั่งหยุดงานเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัย
  • การจัดให้การฝึกอบรมหลักสูตรการขออนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System and Clearance Certificate Signatory) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในระบบใบอนุญาตในการทำงาน
  • การจัดโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากการทำงาน (30-60-90 Days with No Harm No Leak) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นให้พนักงานและผู้รับเหมาเกิดความตระหนักด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมาย คือ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Treatment Case: MTC)
  • การจัดกิจกรรม Thaioil Group QSHE Day ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยฯ ของพนักงานและผู้รับเหมา โดยการมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นด้าน QSHE ประจำปี 2566 และจัดบูธนิทรรศการ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯ ให้กับพนักงานและผู้รับเหมา
  • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ (12 Life Saving Rules) โดยนำวิถีอันตราย (Line of Fire) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎความปลอดภัยพื้นฐาน ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซของ IOGP
  • การรณรงค์และเสริมสร้างการตระหนักถึงอันตราย ได้แก่ วิถีอันตราย และการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการเขียนรายงาน Potential Incident Report (PIR) โดยมุ่งเน้นถึงการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และสภาพการณ์ที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Unsafe Condition) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
  • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในการทำงานของผู้รับเหมา (Contractor Training Matrix) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน 
  • การจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานและผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ รวมถึงรู้และเข้าใจมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในกิจกรรมการทำงาน เช่น หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (Basic Safety in Refinery) หลักสูตรดับเพลิงขั้นต้น (Basic Firefighting) หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศ (Confined Space) และหลักสูตรการปฐมพยาบาล (First Aid) เป็นต้น
  • การอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยเฉพาะ สำหรับพนักงานและผู้รับเหมา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสอดคล้องตามข้อกำหนด เช่น หลักสูตรผู้อนุมัติใบรับรองความปลอดภัย (Authorized Engineer (AE)/ Authorized Gas Safety Inspector (AGSI) Course) หลักสูตรผู้อนุมัติใบอนุญาตทำงาน (Clearance Certificate Signatory) หลักสูตรผู้ตรวจวัดแก๊ส (Authorized Gas Tester) หลักสูตรความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น
  • กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรุกโดยการยกระดับกิจกรรม Management Walk and Talk เป็น GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินกิจกรรม QSHE Roll Out อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการเข้าถึง รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมจิตสำนึกด้านคุณภาพความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงานหรือภายในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ณ ขณะนั้น อีกทั้ง กลุ่มไทยออยล์ยังนำระบบการจัดการต่างๆ ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และมีการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นให้ผู้บริหารได้รับทราบและร่วมหาแนวทางการแก้ไขเป็นประจำ รวมถึงจะมีกระบวนการทบทวน (Management Review) เป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงและจัดทำแผนงานประจำปีต่อไป พร้อมทั้งมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต่อไป

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การทบทวนระบบใบอนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System) โดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนหรือประกายไฟ (Hot Work) รวมถึงรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • จากการประเมินระดับวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2565 ผลการประเมินที่ 4.16 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5.00 คะแนน ซึ่งนำมาด้วยแผนงานพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้เพื่อให้พนักงานและผู้รับเหมามีความตระหนักและให้องค์กรก้าวเข้าสู่องค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ
  • การตรวจสอบระบบใบอนุญาต (Permit to Work Inspection) โดยพนักงานเจ้าของพื้นที่ (Area Operation) และทีมตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Audit Team) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำการ์ดมอบอำนาจสิทธิในการสั่งหยุดงาน (Stop Work Authority) ให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาทุกคน เมื่อพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานมีสภาพการณ์หรือสภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อตนเองและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพย์สินของกลุ่มไทยออยล์ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นและเน้นย้ำถึงการป้องกันและแก้ไขก่อนเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์
  • การประเมินดัชนีชี้วัดสมรรถนะด้านสุขภาพ (Health Performance Indicators) ตามหลักเกณฑ์และแนวทางของ International Association of Oil and Gas Producers (IOGP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดยได้รับคะแนนการประเมินในปี 2566 ที่ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4.00 คะแนน พร้อมจัดทำแผนงานพัฒนาและยกระดับระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของ IOGP ต่อไป
  • การยกระดับการบริหารจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management) ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มีการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยประจำปีของบริษัทผู้รับเหมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party) ทั้งในส่วนของระบบบริหารจัดการและการปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับใช้ในการแบ่งระดับผู้รับเหมา (Contractor Banding) เป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กรณีที่บริษัทผู้รับเหมา มีผลการประเมินฯ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (สีเหลือง หรือ สีแดง) จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมานำเสนอแผนงานและทำการปรับปรุงแก้ไขประเด็นปัญหาให้สอดคล้องตามข้อกำหนดและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเอกสารการประเมินผลด้านเทคนิคของความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการประมูลผู้รับเหมา (Contract SSHE Bidding and Close Out Evaluation)
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติงานที่ปลอดภัย สำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ งานยกของหนักโดยปั้นจั่น งานนั่งร้าน งานที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในเขตพื้นที่โรงกลั่น เป็นต้น และทำการฝึกอบรมและสื่อสารให้กับพนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติหรือฉุกเฉินสำหรับผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้อง ด้วยระบบ SMS เพื่อให้ผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินทราบถึงเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาสนับสนุนการระงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติกรณีเกิดฝนฟ้าคะนองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้พนักงานทราบและดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเป็นการแจ้งเตือนเพื่อเตรียมความพร้อมของทีมระงับเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดไฟไหม้ที่บริเวณขอบถังน้ำมันชนิดหลังคาลอย (Rim Seal Fire)
  • การทบทวนแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า (Pre Incident Plan) ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานสากล รวมถึงการฝึกซ้อมตามแผนที่กำหนด เพื่อเป็นการซักซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า ระดับที่ 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับหน่วยผลิตใหม่ของโครงการ CFP
  • การทบทวนคู่มือการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤติ (Emergency and Crisis Management Manual) และการวางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชุน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต

​การประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

  • การทบทวนการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงและอันตรายที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกัน และมีการตรวจติดตามประสิทธิผลของมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบความปลอดภัย การวิเคราะห์ รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยพนักงานและผู้รับเหมา ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีการทบทวนและตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำทุกเดือน
  • การประเมินความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง และทบทวนมาตรการควบคุมและป้องกันด้านความปลอดภัย โดยกำหนดแผนและมาตรการความมั่นคงและความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ (Defense in Depth) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารเคมี โดยมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในระดับต่างๆ และต่อยอดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินไปสู่ระดับการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ร่วมกับหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ยังคงบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงร้ายแรงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
  • การทบทวนบัญชีอุบัติเหตุที่มีศักยภาพก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง (Major Accident Event) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และการทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินและภาวะวิกฤต รวมถึงแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) ตลอดจนปรับปรุงศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน (Emergency Control Center) ให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติการบริหารจัดการอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ให้ครอบคลุมอุบัติการณ์ทุกประเภท ได้แก่ การบาดเจ็บจากการทำงาน โรคหรือการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อื่นๆ รวมถึงอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต มีการประเมินระดับความรุนแรงและความเสี่ยง โดยใช้ตารางการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) เพื่อกำหนดทีมสอบสวนฯ และวิธีการสอบสวนฯ ที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงและความเสี่ยงของอุบัติการณ์นั้น และต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

การขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx)

  • การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx) เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก และปรับเป้าหมายความปลอดภัยระดับองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว คือ No Harm, No Leak, Goal Zero
  • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินและวิกฤตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแผนกลยุทธ์และเป้าหมายระดับองค์กรใหม่
  • การมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงนำเสนอกรณีศึกษาและประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
  • การเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้งในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ การหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต และงานโครงการก่อสร้าง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนับสนุนความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีด้านภาวะผู้นำความปลอดภัย

SMILE Activity

Working with the right to health

Working with the right to health: กลุ่มไทยออยล์บริหารจัดการและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และมีมาตรการการดูแลรักษาพนักงานอย่างต่อเนื่องจนหายป่วย และสามารกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย (Return to work) โดยกำหนดมาตรการและนโยบายที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของภาครัฐ พร้อมสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มไทยออยล์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งมีการกำหนดนโยบายการปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home Policy) เพื่อให้พนักงานมีสิทธิในการเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตน
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำนโยบายสนับสนุนพนักงานกลุ่มไทยออยล์ “People First for Employee Support Policy” เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและให้ความช่วยเหลือแก่พนักงาน ครอบครัวพนักงาน และสมาชิกชมรมพนักงานเกษียณกลุ่มไทยออยล์ ที่เผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านการเงิน กฎหมาย สุขภาพกาย สุขภาพใจ แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด ปัญหาการสมรส ความเจ็บป่วย ของสมาชิกในครอบครัว การดูแลบุตร ฯลฯ ทั้งในรูปแบบของสิทธิประโยชน์สวัสดิการ และมิใช่สวัสดิการ ตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน

Improving mental health care

Improving mental health care: โครงการ 5 สุข เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาวะของพนักงานวิถีใหม่ (New Normal Work Life) และเพื่อให้พนักงานได้เข้าใจสิทธิที่พนักงานควรได้รับทั้งการดูแลพนักงานรวมถึงพนักงานที่เกษียณอายุในทุกด้านผ่าน โครงการ 5 สุขของกลุ่มไทยออยล์ ได้แก่

Ensuring education for all

Ensuring education for all: การให้ความรู้และสร้างความตระหนักด้านสิทธิมนุษยชน สำหรับพนักงานผ่าน Human Rights E-learning ใน “Thaioil Academy Application” และสำหรับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการบรรยายเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ในงานสัมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ประจำปี 2566 (Supplier Seminar 2023) ณ หอประชุมไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการยอมรับแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Supplier Code of Conduct) เป็นต้น

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future"

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน” ผ่านการจัดงานในรูปแบบ Hybrid เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของกลุ่ม ปตท. และเน้นย้ำให้บุคลากรทุกระดับในกลุ่ม ปตท. นำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยมีคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนบริษัทคู่ค้า และแขกรับเชิญจากหน่วยงานกำกับฯ เช่น ตัวแทนจากมูลนิธิต่อต้านการทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าร่วมงานกว่า 400 คน รวมทั้งมีการเชิญคู่ค้า ลูกค้า และพนักงานเข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ของงานอีกด้วย

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC (GRC Culture Survey) ประจำปี 2566 เพื่อประเมินวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบและข้อบังคับ (GRC) ในภาพรวม โดยผลการสำรวจที่ได้รับจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกำกับดูแลกิจการอย่างเหมาะสมต่อไป

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น คอลัมน์ GRC Corner ในวารสารอัคนี (วารสารภายในองค์กร) GRC Newsletter รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy)

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy) ให้พนักงานทุกคนรับทราบผ่านช่องทางสื่อสารภายในองค์กร ในหลากหลายรูปแบบ เช่น คลิปวีดิโอ E-newsletter เป็นต้นตลอดจนการจัดส่ง “หนังสือขอความร่วมมืองดมอบของขวัญหรือของกำนัลแก่ผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยออยล์” แก่คู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันเหตุปัจจัยที่อาจนำไปสู่การกระทำที่ขัดต่อนโยบายการต่อต้านทุจริต

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning)

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ได้แก่ CG Orientation E-learning สำหรับพนักงานใหม่ ประกอบด้วยหัวข้อหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต และ Anti-Fraud E-learning สำหรับพนักงานปัจจุบัน เพื่อให้ความรู้ที่มาของการเกิดทุจริต และแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตภายในองค์กร

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้ และส่งเสริมพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่โปร่งใส เป็นธรรม ตลอดปี 2566 เช่น กิจกรรม Compliance & CG Talk หัวข้อ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดย นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กิจกรรม Law Focus หัวข้อ การป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดยผู้บริหารจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กิจกรรม GRC in Action บริเวณหน้างาน CEO Townhall ประจำไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 กิจกรรม Good to Great CG Contest เชิญชวนแบ่งปันวิธีการทำงานที่ส่งเสริมแนวทาง CG ในแบบของคุณ เป็นต้น

SAP ECC

ปรับปรุงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่บริษัทฯ ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน หรือ ที่เรียกว่า SAP ECC ให้ยังคงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบ ERP ไปสู่ SAP S/4 HANA ในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027)

Prominence Enhancement

พัฒนาระบบที่ใช้เก็บข้อมูลการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มไทยออยล์ โดยมีข้อมูลในหลายแง่มุม เช่น ประเภทคู่ค้า ราคา ปริมาณการซื้อขาย ช่วงเวลาการซื้อขาย รูปแบบการชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างราคา และช่วยในการตัดสินใจสำหรับการกำหนดรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสมกับคู่ค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรที่มากขึ้น ตามแต่ละสถานการณ์ของตลาดที่มีความผันผวน

Predictive Maintenance Analytics

พัฒนาระบบประมวลผลข้อมูลการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรที่สำคัญในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ เพื่อใช้ทำนายโอกาสที่อุปกรณ์เครื่องจักรเหล่านั้นจะเกิดความเสียหายและหาทางป้องกันล่วงหน้า เพื่อไม่ไห้เกิดเหตุการณ์ Unplan Shutdown และ Unplan Maintenance ต่างๆ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

www.jskem.com.sg 

TOPNEXT ได้ซื้อหุ้นจำนวน 60% ในJSKEM เพื่อขยายธุรกิจด้านจัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศสิงคโปร์ และอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 2021

PT. Tirta Surya Raya

PT. Tirta Surya Raya

TOPNEXT (TX)  ได้ซื้อหุ้นจำนวน 67% ใน PT. Tirta Surya Raya ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar (TSMM) ปี พ.ศ.2560 บริษัทฯได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทน ในประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ TOP Solvent Company Limited (Myanmar Representative Office) เป็นตัวแทนบริษัทฯ ในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อจำหน่ายสินค้า Petroleum และเคมีภัณฑ์ พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 โดยมี บจ. ท็อป โซลเว้นท์ ถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์ และเป็นการลงทุนต่างประเทศครั้งแรกของไทยออยล์ ให้บริการด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารทำละลาย และเคมีภัณฑ์ หลากหลายรูปแบบ เช่น อุตสาหกรรมสี สารเคลือบผิว ทินเนอร์ กาว ตัวประสาน หมึกพิมพ์ อิเลคโทรนิค นํ้ายาทำความสะอาดต่างๆ การสกัดนํ้ามันพืช และอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม Go Dau (เวียดนามใต้) จังหวัด Dong Nai (เวียดนามใต้) และ จังหวัด Hai Phong (เวียดนามเหนือ)

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

www.sakchaisit.com 

มีบริษัท ท็อป เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นผู้ผลิตสารทำละลายไฮโดรคาร์บอนคุณภาพสูง สำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสี, ยางรถยนต์, กาว, น้ำมันพืช, โฟม, พลาสติก, เหมืองทองแดง เป็นต้น