Skip links

การบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

ทิศทางกลยุทธ์

การจัดซื้อจัดจ้างของกลุ่มไทยออยล์ได้ให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
เนื่องจากต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับคู่ค้าจำนวนมากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้การดำเนินงานต้องพิจารณาถึงโอกาสและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสียและมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืน
กลุ่มไทยออยล์จึงบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้า รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังมี การบริหารจัดการ คู่ค้าภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อาทิเช่น มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด, การ บริการจัดการเมื่อเกิดการแพร่ระบาด, แนวทางการปฏิบัติงานที่บ้านสำหรับพนักงานและผู้รับเหมา การประเมินความเสี่ยงและติดตามกลุ่ม สินค้าที่มีระยะเวลาการผลิตนาน การบริหารจัดการคู่ค้าที่ปฏิบัติงานในช่วงงานซ่อมบำรุง เป็นต้น
กลุ่มไทยออยล์ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารอย่างยั่งยืน จึงได้มีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อควบคุมกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมสังคม และธรรมาภิบาล ผ่านนโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนกลุ่มไทยออยล์ ซึ่งอนุมัตโดยประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยนโยบายนี้ได้ประกาศใช้และสื่อสารให้กับผู้บริหาร พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดได้นำไปปฏิบัติตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความสำเร็จอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ยังครอบคลุมถึงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยได้มีการกำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างอย่าง ยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์ซึ่งอนุมัติโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และสื่อสารผู้ที่เกี่ยวของผ่าน แนวทางกลยุทธ์ จัดซื้อจัดจ้างประกอบไปด้วย supply chain ESG strategy และ supplier ESG Program.

ทิศทางกลยุทธ์

การจัดซื้อจัดจ้างของกลุ่มไทยออยล์ได้ให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

เนื่องจากต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับคู่ค้าจำนวนมากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้การดำเนินงานต้องพิจารณาถึงโอกาสและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้มีส่วนได้เสียและมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืน
กลุ่มไทยออยล์จึงบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้า รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงทางด้านความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังมี การบริหารจัดการ คู่ค้าภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อาทิเช่น มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด, การ บริการจัดการเมื่อเกิดการแพร่ระบาด, แนวทางการปฏิบัติงานที่บ้านสำหรับพนักงานและผู้รับเหมา การประเมินความเสี่ยงและติดตามกลุ่ม สินค้าที่มีระยะเวลาการผลิตนาน การบริหารจัดการคู่ค้าที่ปฏิบัติงานในช่วงงานซ่อมบำรุง เป็นต้น
กลุ่มไทยออยล์ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารอย่างยั่งยืน จึงได้มีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อควบคุมกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมสังคม และธรรมาภิบาล ผ่านนโยบายการบริหารจัดการความยั่งยืนกลุ่มไทยออยล์ ซึ่งอนุมัตโดยประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยนโยบายนี้ได้ประกาศใช้และสื่อสารให้กับผู้บริหาร พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดได้นำไปปฏิบัติตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความสำเร็จอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ยังครอบคลุมถึงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยได้มีการกำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างอย่าง ยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์ซึ่งอนุมัติโดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และสื่อสารผู้ที่เกี่ยวของผ่าน แนวทางกลยุทธ์ จัดซื้อจัดจ้างประกอบไปด้วย supply chain ESG strategy และ supplier ESG Program.

1.แสดงความมุ่งมั่น

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนตามกรอบการบริหารจัดการความยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์ ซึ่งคำนึงถึงการดำเนินกิจการอย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ (Economic) สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจตามหลักการงานจัดซื้อจัดจ้างคือ ความโปร่งใส (Clear) เป็นธรรม (Fair) อย่างมืออาชีพ (Professional) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลตามหลักการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน (ISO 20400 : Sustainable Procurement)

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เป็นโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกในประเทศไทย

ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานแนวทางการจัดซื้อจัดจ้าง อย่างยั่งยืน ISO 20400 : Sustainable Procurement

ครอบคลุมกลุ่มสินค้าและงานบริการ สำหรับการจัดซื้อทั้งหมดที่ไม่ใช่น้ำมันดิบ
จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (Management System Certification Institute (Thailand) : MASCI)

2566

ดำเนินการ Re-assessment และได้รับการรับรองมาตรฐานแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ISO 20400 : Sustainable Procurement

การพัฒนากลุ่มคู่ค้าตามแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Sustainable Code of Conduct for Suppliers of Thaioil Group: SCOC) ตั้งแต่มี 2558 คู่ค้ารายใหม่ทุกรายที่ขึ้นทะเบียนผ่านระบบต้องยอมรับ SCOC และมีการติดตามผล เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องกลุ่มไทยออยล์คาดหวังให้คู่ค้าทุกราย อีกทั้งยังมีการสื่อสารแนวทางดังกล่าวผ่านทาง website และงานสัมมนาคู่ค้าประจำปี

แนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ : SCOC

ด้านสิ่งแวดล้อม

การบริหารการจัดการสิ่งแวดล้อม

การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธภาพ

ความหลากหลายทางชีวภาพ การตัดไม้ทำลายป่า หรือการอนุรักษ์ที่ดิน

การป้องกันมลพิษและการจัดการของเสีย

การลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อ
การเปลี่ยนแปลงสภาพ

ด้านสังคม

สิทธิมนุษยชน

การปฏิบัติอย่างเท่าเทียม

การต่อต้านการล่วงละเมิด

แรงงานเด็ก

แรงงานบังคับ

เสรีภาพในการรวมเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์

เงื่อนไขในการทำงาน

ค่าจ้างและสวัสดิการ

การสร้างและพัฒนาทักษะ

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย

ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

การป้องกัน เตรียมตัว และตอบสนองสภาวะฉุกเฉิน

การพัฒนาและ
มีส่วนร่วมกับชุมชน

ด้านจริยธรรมทางธุรกิจ

การปฏิบัติตามข้อบังคับ

การต่อต้านการทุจริต และการติดสินบน

การต่อต้านการแข่งขันทางการค้า

รางวัล

ผลประโยชน์ทับซ้อน

การรักษาความลับ

การเปิดเผยข้อมูล

การเคารพในสิทธิทางปัญญา

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้า

การคุ้มครองข้อมูลลูกค้าและความเป็นส่วนตัว

นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยของลูกค้า

การสร้างความรู้ ความเข้าใจ

การบริการลูกค้า การสนับสนุน การร้องเรียนและการระงับข้อพิพาท

กลุ่มไทยออยล์คาดหวังให้คู่ค้าทุกราย ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Sustainable Code of Conduct for Suppliers of Thaioil Group: SCOC) เพื่อให้แน่ใจว่าคู่ค้าเข้าใจในแนวทาง SCOC ทางกลุ่มไทยออยล์จึงได้มีการสื่อสาร แนวทาง ดังกล่าว ผ่านทาง website และงานสัมนาประจำปี

2.ประเมินขอบเขต

ไทยออยล์มีกระบวนการประเมินความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานครอบคลุมคู่ค้าทั้งหมดทุกปี เพื่อที่จะสามารถจำแนกกลุ่มของคู่ค้าแต่ละประเภทของอุปทาน
ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา ไทยออยล์ประเมินความเสี่ยงคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้าน ESG สูง สำหรับคู่ค้าใหม่ 100% และมีการประเมิน ความเสี่ยงประจำรอบ 3 ปีสำหรับคู่ค้าทั้งหมด 100% การประเมินดังกล่าวใช้วิธีการประเมินความเสี่ยงตามกลุ่มสินค้าและงานบริการของคู่ค้าแต่ละราย โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ และมีการดำเนินงานคัดเลือกและประเมินคู่ค้าประจำปี ผ่านกระบวนการ Supplier Screening, Supplier Risk Assessment และ Supplier Improvement เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงคู่ค้า

การประเมินความเสี่ยงตามกลุ่มสินค้าและงานบริการของคู่ค้าแต่ละราย ซึ่งครอบคลุม 7 หัวข้อหลักในมาตรฐานการจัดซื้อ จัดจ้าง อย่างยั่งยืน ISO20400

7 หัวข้อหลักในมาตรฐานการจัดซื้อ

การประเมินความเสี่ยงตามกลุ่มสินค้าและงาน
บริการของคู่ค้าแต่ละราย ซึ่งครอบคลุม

7 หัวข้อหลักในมาตรฐานการจัดซื้อ
จัดจ้าง อย่างยั่งยืน ISO20400

กลุ่มไทยออยล์จัดให้มีการคัดเลือกและประเมินคู่ค้าประจำปี ซึ่งจะดำเนินการโดยแผนกจัดซื้อจัดจ้าง (ที่ไม่ใช่น้ำมันดิบ) ร่วมกับแผนก ความยั่งยืน

Supplier Screening

Group all suppliers based on Country, Sector and Commodity.

Screen each supplier group according to Country, Sector and Commodity ESG risks,supply risks, spending and business relevance (e.g., financial) etc.

Supplier Risk Assessment

Assess the level of likelihood and negative impacts of risks posed to suppliers to identify potential sustainability (ESG) risks.

Supplier Improvement

Conduct supplier desk or on-site assessment. If there is potential negative impacts, supplier shall provide corrective actions or improvement plan.

Supplier Screening

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินการคัดกรองความเสี่ยงคู่ค้า(Supplier Screening) กับคู่ค้าทางตรงทั้งหมด (Tier 1 Supplier) 1,015 ราย ซึ่งครอบ คลุมการประเมินความเสี่ยงตามประเทศ (Country Specific Risk), ความเสี่ยงตามกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector Specific Risk) และความเสี่ยง ตามกลุ่มสินค้าและบริการ (Commodity-Specific Risk)เพื่อจัดลำดับความสำคัญของคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้านความยั่งยืนได้อย่างเหมาะสม ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

Supplier Risk assessment

มีการประเมินผลกระทบ (ด้านบวก/ด้านลบ) ในแต่ละด้านทั้ง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

เมทริกซ์การประเมินความเสี่ยง (RAM) สำหรับการจัดหาที่ไม่ใช่น้ำมันดิบ แสดงไว้ตามรูปด้านล่าง

ตัวแทนแผนกจัดซื้อจัดจ้างแต่ละกลุ่ม ทำการคัดเลือกประเด็นหัวข้อ ESG 3-5 ประเด็น ที่คู่ค้าส่วนใหญ่ของแต่ละกลุ่มย่อยมีความ เกี่ยวข้อง โดยประเด็นที่ถูกเลือกนั้นจะนำพิจารณาในมุมมอง ด้านสิ่งแวดล้อม, ด้านแรงงานและสิทธิมนุษชน และด้านธรรมาภิบาล โดยจะครอบคลุม 7 หัวข้อตาม ISO20400 ได้แก่ ธรรมาภิบาล, สิทธิมนุษยชน, การปฏิบัติด้านแรงงาน, สิ่งแวดล้อม, การปฏิบัติ ที่เป็นธรรม, ปัญหาต่อผู้บริโภค และการมีส่วนร่วมและการพัฒนาชุมชน

Environment

Operations

Energy Consumptions

Greenhouse Gas Emissions: GHGS

Water Consumptions

Biodiversity

Materials, Chemical & Waste

Air Emission

Spill

Biodiversity

Resource Efficiency

Pollution Product

Product use

Product end-of-life

Social

Human Resources

Employee Health & Safety

Working Conditions

Human Rights

Child Labor

Forced Labor

Human Trafficking

Diversity

Discrimination

Freedom of association

Collective bargaining

Local communities

Working hours

Remuneration

Customer Issue

Sustainable Consumption

Education and awareness

Protecting consumers “Health and safety”

Occupational health and safety

Community Involvement and Development

Employment creation and skills development

Technology development and access

Wealth and income creation

Health

Social investment

Governance

Ethics

Corruption

Anticompetitive practices

Client data privacy

Bribery

Conflict of interest

Anti-competitive practices

Sustainable Procurement

Supplier environmental practices

Supplier social practices Fair Operating Practices

Fair Operating Practices

Promoting sustainability in the value chain

Respect for property rights

Supplier Screening
FY 2023 (numerical)
1.1 Total number of Tier-1 suppliers
1,015
1.2 Total number of significant suppliers in Tier-1
37
1.3 % number of total spend on significant suppliers in Tier-1
11%
1.4 Total number of significant suppliers in non Tier-1
1.5 Total number of significant suppliers (Tier-1 and non Tier-1)
37

3.กำหนดกลุ่มคู่ค้า

ไทยออยล์มีกระบวนการแบ่งกลุ่มคู่ค้า และทบทวนเป็นประจำ ซึ่งได้กำหนดกลุ่มประเภทของคู่ค้าทางตรง (Tier-1 Supplier Classification) เป็น 3 กลุ่มดังนี้

1) คู่ค้าเชิงกลยุทธ์ Strategic Suppliers (Critical Suppliers):

คู่ค้าที่มีความสำคัญอย่างมีนัยสำคัญกับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์

2) คู่ค้าหลัก Key Suppliers:

คู่ค้าหลักที่จัดหาสินค้าและงานบริการให้กับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์

3) คู่ค้าทั่วไป Managed Suppliers:

คู่ค้าทั่วไปที่จัดหาสินค้า และงานบริการให้กับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์
นอกจากนั้นยังมีการจัดหมวดหมู่ของกลุ่มคู่ค้าที่เป็น Critical Non-tier 1 Supplier ซึ่งเป็นผู้จัดหาสินค้าและงานบริการให้กับคู่ค้าของกลุ่มไทยออยล์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าและงานบริการที่มีความสำคัญกับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์

การแบ่งกลุ่มสินค้าและงานบริการ

กลุ่มไทยออยล์มีการแบ่งกลุ่มสินค้าและงานบริการ โดยประเมินจาก ปริมาณค่าใช้จ่าย ความเสี่ยงและโอกาส จัดทำเป็น Supply Positioning Model เพื่อให้เห็นนัยสำคัญและผลกระทบหากคู่ค้าเหล่านั้นเกิดปัญหา โดยกลุ่มไทยออยล์ได้ใช้ข้อมูลนี้ในการจัดลำดับความสำคัญคู่ค้าสำหรับพัฒนากลยุทธ์และการบริหารจัดการ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

1. Critical; High Expenditure – High Supply Risks & ESG Risks
2. Bottleneck; Low Expenditure – High Supply Risks & ESG Risks
3. Leverage; High Expenditure – Low Supply Risks & ESG Risks
4. Routine; Low Value – Low Supply Risks & ESG Risks

การจัดการแบ่งกลุ่มประเภทของคู่ค้า

กลุ่มไทยออยล์มีคู่ค้าที่ยังใช้งานตามระบบทั้งหมด 1,015 ราย ตามบันทึกค่าใช้จ่ายในปี 2566 โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 

คู่ค้าเชิงกลยุทธ์ 

คู่ค้าที่มีความสำคัญอย่างมี นัยสำคัญกับธุรกิจ กลุ่มไทยออยล์โดยมีเงื่อนไข

มูลค่าสั่งซื้อสูง

มีการสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

กลุ่มสินค้ามีความสำคัญสูง

คู่ค้าหลัก

คู่ค้าที่จัดหาสินค้าและงานบริการ ให้กับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเงื่อนไข

มูลค่าสั่งซื้อสูง

กลุ่มสินค้ามีความสำคัญปานกลาง

คู่ค้าเชิงการจัดการ

คู่ค้าที่จัดหาสินค้าและงานบริการ ให้กับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเงื่อนไข

มูลค่าสั่งซื้อต่ำ

มีการสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

กลุ่มสินค้ามีความสำคัญ ปานกลางถึงน้อย

นอกเหนือจากนี้ ยังได้มีการจัดหมวดหมู่คู่ค้า Critical Non-tier 1 Supplier คือ คู่ค้าที่จัดหาสินค้าและงานบริการให้กับคู่ค้าของกลุ่มไทยออยล์ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าและงานบริการที่มีความสำคัญสูงกับธุรกิจกลุ่มไทยออยล์

สรุปขั้นตอนการกำหนดคู่ค้า

4.ลงมือปฏิบัติ 

กลุ่มไทยออยล์ได้นำหลักความยั่งยืนไปเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น นโยบาย, แนวทางกลยุทธ์, ขั้นตอนการทำงาน, การประเมินความเสี่ยงและโอกาส เป็นต้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ตั้งแต่ปี 2563 กลุ่มไทยออยล์ได้เข้าร่วม ISO 20400 (การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน) สำหรับสินค้าทุกประเภท ที่ไม่ใช่น้ำมันดิบ เพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มไทยออยล์มีการบริหารจัดการความยั่งยืนอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานระหว่างประเทศ โดยจะได้มีการเชิญผู้รับรองมาตรฐานภายนอก มาทำการตรวจประเมินทุกๆ 3 ปี
การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนถือเป็นโอกาสที่จะสร้างคุณค่า ให้แก่กลุ่มไทยออยล์ โดยการนำมาซึ่งการพัฒนา การผลิต, การประเมินมูลค่าและประสิทธิภาพ, การสื่อสารระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ดังนั้น กลุ่มไทยออยล์จึงได้จัดให้มีการทำการประเมินความเสี่ยงตามกลุ่มสินค้า/บริการและกลุ่มคู่ค้าเป็นประจำทุก 3 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางความยั่งยืนได้ถูกนำไปใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล โดยจัดการประเมินความเสี่ยงผ่านทาง Strategic Sourcing, SRM program และ Supplier ESG program

แนวทางการบริหารระบบ (Management System Approach)

กลุ่มไทยออยล์ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการสายโซ่อุปทาน ซึ่งครอบคลุมและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลตามหลักการจัดซื้อ จัดจ้าง อย่างยั่งยืน (ISO20400: 2017 Sustainable Procurement) ในขอบข่ายการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับธุรกิจน้ำมันปิโตรเลียมและ ปิโตรเคมี (ไม่รวมการจัดซื้อน้ำมันดิบ) ครอบคลุมกลุ่มสินค้าหลัก 9 กลุ่ม และกลุ่มบริการหลัก 11 กลุ่ม โดยได้นำเกณฑ์มาตรฐานมาใช้ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในทุกกลุ่มวัสดุหลักและกลุ่มบริการหลัก (ยกเว้นกลุ่มน้ำมันดิบ) เพื่อความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของ บริษัทฯ ด้านการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนตามแนวทางมาตรฐานสากล ซึ่งแนวทางการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนช่วยให้องค์กรสามารถ บูรณาการ การดำเนินการอย่างยั่งยืนเข้ากับนโยบายวัตถุประสงค์ กลยุทธ์และกระบวนการด้านจัดซื้อจัดจ้างขององค์กร ทั้งยังเป็นเครื่อง มือในการส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพ การลดต้นทุนและเสริมสร้างนวัตกรรม เนื่องจากสินค้าและบริการที่จัดซื้อจัดจ้าง จะส่งผลกระทบต่อ องค์กร ทั้งขีดความสามารถ สวัสดิภาพของพนักงาน ชื่อเสียง และความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย และยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย
ในปี 2563 มีการเริ่มใช้ระบบการบริหารจัดการคู่ค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยมีการประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ในขั้นตอนการขึ้นทะเบียน คู่ค้า การประเมินคุณสมบัติคู่ค้า การบริหารจัดการความเสี่ยงของคู่ค้าซึ่งสอดคล้องกับข้อบังคับและกฎหมายข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมและ สังคม ข้อมูลทางการเงิน และข้อมูลการดำเนินงาน จากแหล่งข่าวและฐานข้อมูลภายนอก โดยกลุ่มไทยออยล์จะทำการพิจารณาความเสี่ยง ติดตามและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เช่น การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การใช้แรงงานเด็ก หรือการทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

Organizing the procurement function towards sustainability

การจะทำให้นโยบายและกลยุทธ์การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง กับการจัดซื้อจัดจ้าง, ผู้มีส่วนได้เสียภายในองค์กร และคู่ค้าทางธุรกิจ เช่น แผนก SSHE, ผู้ถือสัญญา, กลุ่ม ปตท. หรือ บุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่ค้า เป็นต้น ตลอดจนความเข้าใจในหลักการและเหตุผลของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ดังนั้น กลุ่มไทยออยล์ จึงได้มีการสื่อสารอย่างใกล้ชิดและร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในองค์กรทุกราย เพื่อทำความเข้าใจว่าแต่ละบุคคลมีส่วนในการดำเนินการ การจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนอย่างไร งานที่ได้รับมอบหมายมีความสำคัญอย่างไร ด้วยความสนับสนุนผ่านวัฒนธรรมองค์กร, การบริหาร จัดการประสิทธิภาพ, การให้ความรู้การศึกษาและการจัดฝึกอบรม

Developing Sustainable Procurement Practices in alignment with ISO20400

ISO 20400 Workshop for procurement & contract and internal stakeholders

ESG Auditor Workshop for PTT Group Procurement

Supplier Capacity Building

Safe White Green Program:ตั้งแต่ปี 2564 โปรแกรม “Safe White Green” เป็นความคาดหวังขั้นพื้นฐานของกลุ่มไทยออยล์ต่อบริษัท คู่ค้า
ที่จะต้องจัดให้มีนโยบายด้าน Security, Safety, Occupational Health and Environment (SSHE). โดยผ่านกระบวนการ 5 ขั้นตอน ดังนี้

1) Coach : การให้คำมั่นสัญญาระหว่าผู้บริหารของกลุ่มไทยออยล์และคู่ค้า
2) Up & Re-Skills : การประเมินหาโอกาสสร้างความร่วมมือเพื่อยกระดับ การบริหารจัดการ, ความรู้, ความถนัด, พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน และการจัดอบรมอย่างมีประสิทธิภาพ
3) Control : การติดตามตรวจสอบคู่ค้าเพื่อให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมาย, ข้อกำหนดและมาตรฐานต่างๆ โดยการประเมินโดยบุคคลที่สามที่เป็นอิสระ และการประเมินผลการดำเนินงานคู่ค้าผ่านระบบ Contractor Management System (CMS)
4) Recognize : การให้รางวัลชมเชยแก่บริษัทคู่ค้าและผู้ปฏิบัติงาน
5) Share : สนับสนุนการมีส่วนร่วม และ การแบ่งปัน lesson learned และ best practices.

Supplier Seminar 2023

การบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (Integrating sustainability into the procurement process)

Supplier ESG program ได้ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดกการคู่ค้าตลอดระยะเวลาของสัญญา (เช่น การระบุการปฏิบัติ ตาม SCOC ในข้อสัญญา, การให้คะแนนการปฏิบัติตาม SCOC ในการประเมินผลงานคู่ค้า, การให้รางวัลคู่ค้าที่มีผลงานด้าน ESG โดดเด่น และกำหนดให้ ESG เป็นส่วนหนึ่งของการคัดเลือกคู่ค้าและประกวดราคาในอนาคต รวมถึงการระงับ/กำหนดบัญชีดำ สำหรับคู่ค้า ที่ไม่ปฏิบัติตาม ESG และเพิกเฉยต่อการแก้ไข ฯลฯ) ควบคู่ไปกับการจัดการความเสี่ยงคู่ค้า

กลุ่มไทยออยล์ได้จัดการและควบคุมกระบวนการเหล่านี้ตามมาตรฐาน ISO9001 เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการทั้งหมดและเอกสารที่เกี่ยวข้องได้รับ
การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทบทวนผลงานคู่ค้าประจำปี, การประเมินความเสี่ยงคู่ค้า (ความเสี่ยงด้านอุปทาน/ความเสี่ยงด้าน ESG)
เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลมีการปรับปรุงอยู่เสมอ และปกป้องห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มไทยออยล์จากความไม่แน่นอนรวมทั้งหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักทางธุรกิจ

การจัดการวงจรชีวิตของคู่ค้า (Supplier Life Cycle Management)

กลุ่มไทยออยล์ได้รวมโปรแกรม ESG ของคู่ค้าเข้ากับกระบวนการการจัดการวงจรชีวิตของคู่ค้า

Remark: (1) This acitivty will be fully implement in 2023

พื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการทั้งหมดและเอกสารที่เกี่ยวข้องได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ กลุ่มไทยออยล์ได้จัดการและควบคุมกระบวนการเหล่านี้ตาม
มาตรฐาน ISO9001 เช่น มีการทบทวน Profile ของคู่ค้า การประเมินความเสี่ยงของค้า (เช่น ความเสี่ยงด้านอุปทาน, ความเสี่ยงด้าน ESG) ) เป็นประจำทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลเป็นปัจจุบันอยู่เสมอและปกป้องห่วงโซ่อุปทานจากความไม่แน่นอน และหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักทางธุรกิจ

ยิ่งไปกว่านั้น แนวปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างและสัญญาต่อคู่ค้าได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับข้อกำหนด ESG

โดยในทุก ๆ 3 ปี กระบวนการจัดซื้อและสัญญาจะถูกประเมินโดยบุคคลที่สาม เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) และข้อกำหนด ESG

การมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของคู่ค้า

กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินการเพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส (Clear) เป็นธรรม (Fair) และมีความเป็นมืออาชีพ (Professional) โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ (“E-Procurement”) ให้คู่ค้าเข้ามามีส่วนร่วม ผ่านเครือข่ายอารีบา (SAP Ariba Network) ซึ่งเป็นระบบที่น่าเชื่อถือ และใช้กันทั่วโลก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และนำไปสู่ผลลัพธ์ของการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืนที่ดียิ่งขึ้นร่วมกัน
ในปี 2564 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 เพื่อให้กลุ่มไทยออยล์สามารถดำเนินธุรกิจกับคู่ค้าได้อย่างต่อเนื่องพร้อมทั้ง สนับสนุนมาตรการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19 กลุ่มไทยออยล์จึงนำเทคโนโลยีมาใช้ในงานประกวดราคา โดยให้คู่ค้าสามารถยื่นซองประกวดราคา ผ่านระบบ และตลอดปี 2564 ที่ผ่านมา มีคู่ค้าเข้าร่วมประกวดราคามากกว่า 200 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อการใช้งานอย่างมาก เนื่องจากช่วยลดทั้งค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการดำเนินงานให้แก่คู่ค้า และคู่ค้ายังสามารถตรวจสอบผ่านระบบได้ ทำให้มั่นใจได้ถึงความโปร่ง ใสและเป็นธรรม นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ยังมีการนำระบบ E-Catalogue มาใช้งาน เพื่อให้สามารถยืนยันใบสั่งซื้อ (Purchase Order) แก่คู่ค้า ผ่านระบบ E-Procurement (Online PO) ให้มากที่สุดได้ เพื่อช่วยลดขั้นตอนระหว่างกัน เพิ่มความสะดวก และรวดเร็วให้แก่คู่ค้าพร้อมสนับสนุน ด้านสิ่งแวดล้อมจากการลดการใช้กระดาษ นำไปสู่การใช้ทรัพยากรและพลังงานที่ลดลง
กลุ่มไทยออยล์ได้มีการพัฒนาระบบ Contractor Management System (CMS) เพื่อสนับสนุนกระบวนการดำเนินงานตามสัญญาของคู่ค้า (Post-Award) โดยคู่ค้าสามารถยื่นขอทำบัตรผู้รับเหมาเพื่อขอเข้าพื้นที่ทำงานในกลุ่มไทยออยล์ผ่านระบบ CMS ได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ข้อมูล ผู้รับเหมาถูกจัดเก็บอยู่บนระบบ สามารถตรวจสอบได้ และเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีการประเมินผลงานคู่ค้า ผ่านระบบ C-PMS (Contractor-Performance Management System) ซึ่งหลังจบงานตามสัญญา กลุ่มไทยออยล์จะนำ KPI ในด้านต่างๆ อาทิเช่น ESG, SSHE, Quality ที่ได้ตกลงร่วมกับคู่ค้า มาประเมินผลการดำเนินงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคู่ค้า เพื่อนำไปสู่การปรับปรุง การทำงานที่ดียิ่งขึ้นร่วมกันต่อไป
สุดท้ายนี้ เพื่อมั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ทราบถึงความต้องการของคู่ค้า กลุ่มไทยออยล์ได้สร้างการมีส่วนร่วม การสื่อสาร และการรับฟังข้อคิดเห็น ในประเด็นต่างๆ โดยการสำรวจมุมมองของคู่ค้าที่มีต่อกลุ่มไทยออยล์ ในมุมมองหลักการบริหารงานจัดซื้อจัดจ้าง การบริการ ความโปร่งใสและ ยุติธรรม ซึ่งนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาบูรณาการเข้ากับกระบวนการตัดสินใจและดำเนินการของบริษัท ในปี 2566 ไทยออยล์ได้ดำเนินการสำรวจ มุมมองและความคิดเห็นของคู่ค้าผ่านบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในงานวิจัย พบว่าผลการสำรวจมุมมองของคู่ค้าต่อการดำเนินงานร่วมกับ กลุ่มไทยออยล์ มีดังนี้

5.วัดผลและติดตาม

ไทยออยล์ยังคงมีการตรวจติดตามการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) จากหลักฐานและใบรับรองต่างๆ เช่น ISO14001, ISO18001, ISO26000, ISO50001, ISO20400, ISO27001, รางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวของกรมโรงงานอุตสาหกรรม, โครงการ CAC เป็นต้น

นอกเหนือจากนั้นไทยออยล์ยังได้มีการตรวจประเมินด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงานของคู่ค้าขณะปฏิงานภาคสนาม เพื่อให้แน่ใจว่าคู่ค้ายังคงปฏิบัติตามแนวทางความยั่งยืน SCOC

เมื่อจบงานในแต่ละสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ผู้ใช้งานจะทำการประเมินประสิทธิภาพของคู่ค้า ด้วยตัวชี้วัดทางด้านความปลอดภัย, ความยั่งยืน ESG และการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) และบันทึกลงในฐานข้อมูล

มีระบบในการบริหารจัดการผลการประเมินการทำงานของคู่ค้า

ระบบในการบริหารจัดการผลการประเมิน

เมื่อจบงานในแต่ละสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ผู้ใช้งานจะทำการประเมินประสิทธิภาพของคู่ค้า ด้วยตัวชี้วัดทางด้านความปลอดภัย, ความยั่งยืน ESG และการปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC) และบันทึกลงในฐานข้อมูล

แนวทางการประเมิน ESG แบบ Desk Assessment

จากผลการประเมินความเสี่ยง กลุ่มไทยออยล์ได้จัดกลุ่มคู่ค้าที่มีความเสี่ยงด้าน ESG และกลุ่มคู่ค้าที่มีความสำคัญ Tier-1 เพื่อเข้าร่วม ESG Verification Program เพื่อที่ตรวจประเมินและจัดการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้ทบทวนการประเมินด้านความยั่งยืนสืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 โดยการปรับเปลี่ยน เป็นการตรวจประเมินจากบุคคลภายนอกที่น่าเชื่อถือ (3rd Party) โดยดูหลักฐานจากรายงานการตรวจประเมิน เช่น ISO14001, ISO50001, ISO45001, OHSAS18001, ISO9001, ISO17025, ISO27001, ประเมินโรงงานอุตสาหกรรมสีเขียวโดยกระทรวงอุตสาหกรรม, การรับรอง จากโครงการ CAC โดย Thai Private Sector Collective Action Against Corruption, Corporate Social Responsibility, Department of Industrial Work Award by Department of Industrial Works, Ministry of Industry และการตรวจประเมินการจัดการของเสียโดย ผู้บริหารด้านความปลอดภัยกลุ่มไทยออยล์ เป็นต้น ทั้งนี้ มีคู่ค้าจำนวนทั้งหมด 91 รายที่ผ่านการตรวจประเมิน โดยมีคู่ค้าที่มีความสำคัญ Tier-1 ที่ผ่านการตรวจประเมินคิดเป็นร้อยละ 86.49
FY 2023 (numerical)
No. of Supplier – Passed the verification
Percentage – Passed the verification
Critical Suppliers
37
32
86.49%
Other Suppliers
978
59
6.03%
Grand Total
91
High Risk Suppliers

แนวทางการประเมิน ESG แบบ Desk Assessment

จากผลการประเมินความเสี่ยง กลุ่มไทยออยล์ได้ทำติดตามและประเมินความเสี่ยง ESG ภาคสนามร่วมกับคู่ค้า เช่น การประเมิน SSHE (Security, Safety, Occupational Health, and Environment) ที่ไซต์งานของทั้งไทยออยล์บริษัทคู่ค้า
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับงาน Major Turn Around (MTA) จะมีผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มไทยออยล์ร่วมตรวจสอบภาคสนามกับคู่ค้า เพื่อให้ แน่ใจคู่ค้าที่มีนัยสำคัญได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ แนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (SCOC)
Thaioil Group Site
Thaioil Group Site

แนวทางการประเมิน ESG แบบ Desk Assessment

6.เปิดเผยข้อมูล

การสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับคู่ค้า เช่น นโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง, กลยุทธ์และทิศทางงานจัดซื้อจัดจ้างจ้าง, หลักการงานจัดซื้อจัดจ้าง, CSR in Supply Chain, มารตรการการป้องกัน COVID-19 สำหรับคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ถูกสื่อสารผ่านเว็ปไซต์ กิจกรรมสานสัมพันธ์คู่ค้า งานสัมมนาคู่ค้าประจำปี รวมไปถึงข่าวสารผ่านอีเมล์กลางคู่ค้าสัมพันธ์
ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดกับคู่ค้า ผู้รับเหมากลุ่มไทยออยล์ ทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และตามกำหนดเวลาที่ได้วางแผนไว้

มีการสื่อสารผ่านแผนงานบริหารจัดการความสัมพันธ์ของคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง

แผนงานบริหารจัดการความสัมพันธ์

Contractor Management : KOM with Contractor Management 2021

Contractor Management : KOM with Contractor Management 2022

การประชุมผู้รับเหมากับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มไทยออยล์ เพื่อเน้นย้ำการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย และเตรียมความพร้อม สำหรับงานหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (Major Turnaround) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยลู้ปเบส จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งมอบตามแผนงาน

Contractor Management : Management Site Walk at Labix Y2022

Contractor Management : Management Site Walk at TLB Y2022

Contractor Award 2020

Contractor Award 2022

Annual supplier conference 2019-2023

การสื่อสารวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ทิศทางการดำเนินงานจัดซื้อจัดจ้างกลุ่มไทยออยล์ รวมไปถึงการจัดการเชิงรุกทางด้าน
SSHE สิทธิมนุษยชนสำหรับคู่ค้า และการกำกับดูแลกิจการ ผ่านงานสัมมนาคู่ค้าประจำปี ในธีมงานเพื่อนแท้สู่ความยั่งยืน
(Partner For Life)

PTT Group CG Day

การเชิญคู่ค้าหลัก จำนวน 2,100 ราย เข้าร่วมงาน PTT Group CG Day เพื่อแลกเปลี่ยนเรียบรู้และสร้างเครือข่าย

Regular Communicate COVID-19 measures

จัดการสื่อสารมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ผ่านทางอีเมล์ การประชุมออนไลน์ อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยัง มีการบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด การส่งเสริมให้คู่ค้าปฏิบัติตามมาตการได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และดำเนินการ ได้อย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น การจัดฝึกอบรมการตรวจ ATK ให้กับบริษัทผู้รับเหมา

No Gift Policy Communication

การสื่อสารผ่านกิจกรรมสานสัมพันธ์ เพื่อให้คู่ค้าได้รับทราบ เข้าใจ และปฏิบัติตามเจตนารมณ์ด้านความโปร่งใสในงานจัดซื้อจัดจ้าง กลุ่มไทยออยล์ อาทิ นโยบายงดรับของขวัญและของกำนัล (No Gift Policy)

การวิเคราะห์รายจ่าย

การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่กลุ่มไทยออยล์ใช้หาโอกาสในการลดต้นทุน บริหารจัดการความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นพื้นฐานในการจัดซื้อจัดจ้าง คัดเลือกคู่ค้า ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ ทำให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่ายขององค์กร ทั้งยังช่วยผลักดันในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามสัญญา และการจัดการต้นทุน
กลุ่มไทยออยล์ทำการวิเคราะห์ข้อมูลค่าใช้จ่าย โดยจัดกลุ่มคู่ค้า ตามภูมิภาค ประเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม รายการสินค้าและงานบริการ และใช้ปริมาณค่าใช้จ่ายเป็นส่วนหนึ่งของการจำแนกประเภทคู่ค้าที่มีนัยสำคัญ (คู่ค้าเชิงกลยุทธ์/คู่ค้าสำคัญ)

การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน

นักลงทุนสัมพันธ์

ข่าวสารและประกาศ

ติดต่อเรา

ร่วมงานกับเรา

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรก โดยผนวกเนื้อหาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปฐมนิเทศสำหรับพนักงานใหม่พร้อมกับส่งมอบคู่มือ CG ผ่านระบบ CG Reporting ส่งผลให้พนักงานใหม่ได้รับการสื่อสารข้อมูลและฝึกอบรม ครบร้อยละ 100 

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ อาทิ Fundamental of Refinery Process และ Business Overview & Refinery Overview เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาพรวมธุรกิจของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และสถานการณ์ตลาดมากยิ่งขึ้น

การจัดกิจกรรม "Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567

การจัดกิจกรรม “Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567 เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีจ่ายน้ำมัน ผู้ประสานงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ห้องตั๋วและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity”

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity” ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ของชาติ รวมถึงงานศิลปกรรม ร่วมกับลูกค้า ณ พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2567

Innovation Talk

เป็นกิจกรรมที่มีการเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมมาให้ความรู้กับพนักงาน เช่น อาจารย์ธงชัย โรจน์กังสดาล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด, คุณณัฐภัทร ธเนศวรกุล ที่ปรึกษาด้านการวัดระดับนวัตกรรมองค์กร จาก บริษัท ไรส์ แอคเซล จำกัด และคุณซีเค เจิง CEO ของ บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด เป็นต้น โดยในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 15 และความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 93 เป็น 94 จาก 100 คะแนนเต็ม และในแต่ละครั้งมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมาก ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

TOP BCG Updates

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ e – Mail รายเดือนเพื่อเพิ่มความรู้ทางด้าน BCG ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประกอบไปด้วยนโยบายการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ 3 ระบบของรัฐบาลไทย ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน และนวัตกรรมในการลดโลกร้อนต่าง ๆ โดยในปี 2567 ภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

TOP Innovation E-newsletter

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Mail) รายสัปดาห์ ส่งให้แก่พนักงานทุกคนในกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ และกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่นวัตกรพึงมีและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน รวมถึงการให้ข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยในปี 2567 มีการเผยแพร่บทความ TOP Innovation e-Newsletter ทั้งหมด 39 ฉบับ มียอดผู้อ่านบทความรวมกว่า 24,707 ครั้ง โดยได้คะแนนความพึงพอใจจากผู้อ่านอยู่ในระดับดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

กิจกรรม Innovation and Learning Day 2024 ประจำปี 2567

กิจกรรม Innovation Failure Challenge

กิจกรรม Innovation Roadshow

กิจกรรม Innovation Idea Challenge

Generating New Actionable Ideas through Change Agent SME
Idea Facilitation & LO Inspirer Workshop

การจัดกิจกรรม Workshop การพัฒนา Change Agent โดยคัดเลือกตัวแทนหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือก โดยกลุ่มของ Change Agent จะได้รับการพัฒนา ให้ความรู้ ทักษะ และเครื่องมือ เพื่อใช้ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมและคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ภายในหน่วยงานตนเอง

CEO Townhall และ Management Meeting

การจัดกิจกรรมการสื่อสารโดย CEO ถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อเน้นย้ำทิศทาง กลยุทธ์ รวมถึงแผนและผลการดำเนินงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงในการนำการเปลี่ยนแปลงลงมาสู่องค์กรและพนักงานทุกคน รวมถึงการรายงานความคืบหน้าของโครงการ Innovation Culture Awareness ในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นผู้บริหารระดับสูงสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง

Building Innovation Culture Awareness through Top
Management Workshop (Management Outing Workshop)

การจัดกิจกรรม Workshop สำหรับผู้บริหาร เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การสร้าง Innovation Culture Awareness ให้กับพนักงานในสายงาน/ ฝ่ายของตนเอง ผ่านพฤติกรรมหลัก “Lead to Innovation Culture” รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากรภายนอกถึงแนวคิดการสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร และการฝึกปฏิบัติการใช้พฤติกรรม i-LEAD as a Role Model

โครงการ Teach for Thailand

วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนาครูผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพปฏิบัติหน้าที่ในฐานะครูผู้ช่วยสอนนักเรียนในระดับชั้นมัธยมต้น

ประเภทโครงการ

โครงการ Teach for Thailand

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่ครูผู้สอนจำนวน 2 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ช่วยสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 

3 ที่โรงเรียนวัดมโนรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่ตั้งใกล้กับโรงกลั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งมีผลการประเมินการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจ ดังนี้
1. นักเรียนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 489 คนในปีการศึกษา 2567
2. พัฒนาการด้านวิชาการ และคุณลักษณะนิสัย และทักษะที่จำเป็นของนักเรียนปรับเพิ่มขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ย Post-test อยู่ที่ 28.51 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ย Pre-test ในภาคเรียนที่ 1 ที่ 27.57 คะแนน และพบว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างและพัฒนาคุณลักษณะนิสัยของนักเรียน ทั้งด้านความพยายาม กรอบความคิดแบบเติบโต และการเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เช่นเดียวกับการสร้างและพัฒนาทักษะที่จำเป็นของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์ ความร่วมมือ และการตระหนักรู้ในตนเอง
3. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการสอน เช่น วีดิทัศน์ บอร์ดเกม โปรแกรมออนไลน์ เป็นต้น ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการและมีทัศนคติที่ดีต่อสาขาวิชาที่เรียนมากขึ้น โดยสามารถตอบคำถาม จำแนกตัวอย่าง และทำงานร่วมกันเป็นทีมกับเพื่อนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี
4. นักเรียนส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและพัฒนาการในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5. ผู้อำนวยการและบุคลากรในโรงเรียนมีความพึงพอใจต่อครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยมีคะแนนรวมความพึงพอใจ 9.1 คะแนนจาก 10 คะแนน และเล็งเห็นว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความรู้ ความสามารถ และลักษณะนิสัยที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานในบริบทที่ท้าทาย ร้อยละ 92 นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนกันอย่างสม่ำเสมอ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำในภาคการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศผ่านการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และวางแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินกิจกรรม ภายใต้โครงการ PTT Group Model School และ CONNEXT ED ในปี 2567 ดังนี้
1. โครงการเตรียมความพร้อมสู่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) พื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การให้ความรู้แก่เยาวชนให้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) และสนับสนุนให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ IoT ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต โดยมีโรงเรียนภายใต้โครงการ CONNEXT ED ของกลุ่ม ปตท. เข้าร่วมกิจกรรม 2 แห่ง และมีครูผู้สอน 2 คน และนักเรียน 6 คน เข้าร่วมโครงการฯ
2. โครงการจิตอาสากลุ่มไทยออยล์ โดยนำพนักงานจิตอาสาไปบรรยายให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และคลินิกฟุตบอล ฟุตซอล เทเบิลเทนนิส และวอลเลย์บอล ให้แก่นักเรียนในชุมชนรอบโรงกลั่น

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศไทย และเป็นการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนในพื้นที่รอบแปลงปลูกป่า

ประเภทโครงการ

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต จำนวน 8,656.22 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น
1.  การปลูกป่า จำนวน 8,300 ไร่ในจังหวัดแพร่ ร่วมกับกรมป่าไม้
2. การปลูกป่าชายเลน จำนวน 356.22 ไร่ในจังหวัดตรังและจังหวัดชลบุรี ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ซึ่งคาดว่า จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 88,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพจากการคัดเลือกชนิดไม้พื้นถิ่นเข้ามาปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่แปลงปลูกป่า

ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้สนับสนุนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน 4 แห่ง เพื่อดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่า ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งยังให้การสนับสนุนองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ผืนป่า นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการต่อยอดอาชีพ ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

วัตถุประสงค์

เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานและสร้างนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในองค์กร

ประเภทโครงการ

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน 

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้ โครงการ Thaioil CE WE GO ในปี 2567 ดังนี้

1. จัดอบรมการฝึกอบรมสำนักงานสีเขียว (Green Office) สำหรับพื้นที่อาคารออดิทอเรียม และศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน จำนวน 2 ครั้ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนโครงการสำนักงานสีเขียว (Green Office) กับกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ให้กับศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน และอาคารออดิทอเรียม โรงกลั่นไทยออยล์
2. จัดกิจกรรมนำผู้แทนครัวเรือนนำร่อง 10 ครัวเรือนและคณะกรรมการชุมชนบ้านนาเก่าไปเยี่ยมชมการดำเนินโครงการชุมชนต้นแบบการจัดการขยะในจังหวัดระยอง

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) และสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้แก่ชุมชนและสังคม

ประเภทโครงการ

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์จัดกิจกรรมสร้างเสริมองค์ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการของเสียและการจัดการระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบุญจิตวิทยา โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 และโรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 (มูลนิธิไต้ล้ง – เช็ง พรประภา) จังหวัดชลบุรี ผ่านกิจกรรมการจัดการของเสีย 4 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ การคัดแยกขยะ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร การรีไซเคิลน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และการแปลงขยะเป็นรายได้ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 – เดือนตุลาคม 2567 พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ มีปริมาณขยะรีไซเคิลรวม 12,240.24 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 27,725 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนั้น ยังมีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ และนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในการทำกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

โครงการ "Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงการคัดแยกขยะและรีไซเคิลให้แก่นักเรียน เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม และ สนับสนุนการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะในโรงเรียนและสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืน

ประเภทโครงการ

โครงการ “Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ต่อยอดจากกิจกรรม “Thaioil Run For the Green Future 2024” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อลดขยะพลาสติกในโรงเรียน และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน โดยบริษัทฯได้ส่งมอบอุปกรณ์คัดแยกขวดน้ำพลาสติกให้โรงเรียนในพื้นที่แหลมฉบังจำนวน 8 แห่ง จากนั้น โรงเรียนจะส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติก เพื่อนำส่งให้บริษัทฯ นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ซึ่งนักเรียนสามารถนำขวดพลาสติกดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เป็นประโยชน์ เช่น ถุงเท้า อุปกรณ์การเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์ทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

วัตถุประสงค์

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบของขยะพลาสติกที่มีต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการลด ละ เลิกการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียว

ประเภทโครงการ

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จัดกิจกรรมแปรรูปขยะเป็นไม้กวาด ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ลักษณะของขยะแต่ละประเภท และร่วมประดิษฐ์ไม้กวาดจากขวดพลาสติก เพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกอันดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

วัตถุประสงค์

เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์

ประเภทโครงการ

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมสนับสนุนการปล่อยพันธุ์สัตว์ทะเลของกลุ่มประมงที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านอ่าวอุดม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเล เพื่อสร้างสมดุลทางทะเลในเขตอ่าวอุดม โดยในปี 2567 บริษัทฯ ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ อาทิ พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กุ้งขาว ลูกปูม้า หมึก ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ พร้อมทั้งร่วมเก็บขยะบริเวณชายหาดชุมชนติดชายฝั่งทะเลอีกด้วย

โครงการด้านการศึกษา

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา และสนับสนุนเยาวชนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ประเภทโครงการ

โครงการด้านการศึกษา

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาที่มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 252 ทุน และกองทุนกลุ่มไทยออยล์เพื่อสถาบันการศึกษาให้แก่สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา จำนวน 11 กองทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,900,000 บาท ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไปในพื้นที่ศรีราชา ณ ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในปี 2567 ดังนี้

1. ร่วมมือกับคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน และร่วมกิจกรรมเปิดบ้านวิชาการกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อจัดนิทรรศการแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอม โดยมุ่งเน้นการนำเสนอขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
2. จัดหลักสูตรทำเทียนหอมสำหรับจัดชุดของชำร่วย โดยใช้สแลคแว็กซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มไทยออยล์ มาเป็นวัตถุดิบ นอกจากนั้น ยังมีการจัดหลักสูตรผู้ประกอบการยุค 2024 ประกอบด้วยหลักสูตรทำเหรียญโปรยทาน และหลักสูตรสลายเศษด้วยถัง สลายมันด้วยฟอง ซึ่งเป็นการผลิตน้ำยาล้างและทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คน

โครงการเดิน - วิ่ง 1 แสนกิโล

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ชุมชนออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และได้รับองค์ความรู้ด้านสุขภาพใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองและครอบครัว

ประเภทโครงการ

โครงการเดิน – วิ่ง 1 แสนกิโล

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์เชิญชวนประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่นมาออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่งและร่วมกันสะสมระยะทาง โดยการบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “นับก้าว” ให้ได้ระยะทางรวม 100,000 กิโลเมตร โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 175 คน และมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลที่ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชนรวม 2 ครั้ง

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากของนักเรียน

ประเภทโครงการ

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ให้บริการทันตกรรม ตรวจสุขภาพช่องปาก อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรซ์ ขูดหินปูน และส่งเสริมป้องกันฟันผุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 4,520 รายที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่ง

โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ร่วมกับกลุ่ม ปตท

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในการเตรียมความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศ

กรอบการดําเนินงาน

1. ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ
2.ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ
3. ประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่นอกเหนือจาก พื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมกับกลุ่ม ปตท. บรรจุและส่งมอบถุงยังชีพกว่า 20,800 ถุง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และยารักษาโรคที่จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดแพร่ น่าน สุโขทัย พะเยา พิษณุโลก หนองคาย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

โครงการ “คุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4”

วัตถุประสงค์

ส่งเสริมค่านิยมให้พนักงานดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยจิตอาสาและส่งเสริมภาพลักษณ์การช่วยเหลือสังคม

ความเป็นมาโครงการ

พนักงานถือเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งมีการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ขณะเดียวกัน ก็มีค่านิยม “วัฒนธรรมจิตอาสา” ที่ยึดถือปฏิบัติร่วมกันมาอย่างยาวนาน จึงก่อให้เกิดโครงการจิตอาสา “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เนื่องในวาระที่ไทยออยล์กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ของการก่อตั้ง และมีการดำเนินการโครงการฯ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 เพื่อสานต่อ “วัฒนธรรมจิตอาสา” ขององค์กร

กรอบการดำเนินงาน

1. ประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ก.ค. 2567
2. เปิดโอกาสให้พนักงานดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ธ.ค. 2567
3. บริษัทฯ สนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรมจิตอาสา 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน

ผลการดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นที่จะกระตุ้นและปลูกฝังให้พนักงานมีจิตอาสาตามค่านิยมองค์กรหัวข้อ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Social Responsibility) จึงได้ดำเนินโครงการ “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริหาร พนักงานและพนักงานผู้รับเหมาเข้าร่วมกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปี 2567 มีการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Team Spirit+” โดยให้ผู้บริหารระดับสูงเชิญชวนพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาภายในสายงานร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแรงกายแรงใจของตนเอง ซึ่งกลุ่มไทยออยล์จะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน เพื่อใช้เป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ในการดำเนินงาน โดยมีพนักงานเข้าร่วมงานทั้งหมด 30 ฝ่ายงาน ภายใต้งบประมาณรวม 1,000,000 บาท โดยนำงบประมาณไปใช้จัดกิจกรรม CSR ให้แก่โรงเรียน มูลนิธิการกุศล ชุมชน และอื่นๆ

โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา (Sustainable Energy for Healthcare and Education)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้การบริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์นำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม รวมถึงประสบการณ์ด้านการจัดการพลังงานมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา มาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาเข้าถึงการใช้พลังงานทางเลือก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า และนำผลประหยัดมาต่อยอดโครงการเพื่อสังคม ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กรอบการดําเนินงาน

1. ศึกษาศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่เป้าหมาย
2. จัดทำรายงานความเป็นไปได้ (Feasibility) และความคุ้มค่าทางการลงทุน ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ร่วมกับที่ปรึกษาโครงการฯ
3. ขออนุมัติการดำเนินโครงการและงบประมาณ
4. คัดเลือกผู้รับเหมาและดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาที่ผ่านการประเมิน
5. ส่งมอบโครงการฯ
6. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอใบอนุญาต (ในกรณีที่เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 3 แห่ง และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 94 กิโลวัตต์ ซึ่งสร้างผลประหยัดเป็นมูลค่ารวม 0.9 ล้านบาทต่อปี โดยนำผลประหยัดที่ได้จากค่ากระแสไฟฟ้าที่ลดลงไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ พัฒนาระบบงานบริการสุขภาพผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs รวมทั้งสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า 51 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

โครงการดำเนินการเกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล

วัตถุประสงค์

เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความเป็นมาของโครงการ

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SBM-2) บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดตั้งคณะทำงานบริหารข้อร้องเรียน เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเดือดร้อน
2. ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบ
3. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาช่วยเหลือตามกรอบแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรม และดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
4. จัดตั้งคณะทำงานการฟื้นฟู เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ภายหลังจากการปิดรับคำร้องของผู้ได้รับผลกระทบ ปรากฏว่า มีผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 905 ราย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 58 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานการฟื้นฟูขึ้น เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงานราชการ ผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรอิสระ และ NGO กลุ่มต่างๆ รวมถึงการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ อยู่ในระหว่างการวางแผนงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

โครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้เยาวชนได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพแข็งแรง เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในอนาคต
2. ส่งเสริมให้เยาวชนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก ได้ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชชูปถัมภ์ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังทั้ง 8 โรงเรียนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก มาตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ ภายหลังได้เข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานกับสมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและเทศบาลนครแหลมฉบัง

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดประชุมร่วมกับผู้อำนวยการและคุณครูผู้ฝึกสอนกีฬาพลศึกษาของโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่งในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง ประกอบด้วยโรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม โรงเรียนวัดมโนรม โรงเรียนวัดแหลมฉบัง โรงเรียนบ้านชากยายจีน โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) และโรงเรียนบุญจิตวิทยา
2. วางแผนโครงการ พร้อมขออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
3. ดำเนินการจัดค่ายฝึกทักษะพัฒนาศักยภาพนักกีฬากระโดดเชือก เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
4. สร้างนักกีฬาหน้าใหม่ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก ซึ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง

ผลการดําเนินงานในปี 2567

1. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทานประเภทมือใหม่ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ณ ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเหรียญทองจำนวน 4 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 10 เหรียญ และเหรียญทองแดงจำนวน 4 เหรียญ นอกจากนั้น โรงเรียนบุญจิตวิทยายังได้รับถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จำนวน 4 ถ้วย และมีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับที่ 2
2. โครงการพัฒนาทักษะนักกีฬาสู่แชมป์กระโดดเชือก ประจำปี 2567 เพื่อคัดเลือกและฝึกซ้อมนักกีฬากระโดดเชือกจากโรงเรียนรอบโรงกลั่น 8 แห่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
3. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 15 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ สนามยิมเนเซียม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสนับสนุนการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยกิจกรรมนี้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 60 คน
4. นักกีฬากระโดดเชือกแหลมฉบังได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก Jump Rope China Open 2024 ณ เมืองหูเป่ย (Huaibei) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนักกีฬาตัวแทนชาวแหลมฉบังได้คว้าเหรียญทองมาได้ 2 รายการ เหรียญเงิน 1 รายการ และเหรียญทองแดง 4 รายการ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเทศบาลนครแหลมฉบัง

การรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

  •  การดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังติดตามและแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 ไม่พบผู้ติดเชื้อ เน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะที่ 1 พบผู้ต้องสงสัยหรือผู้ติดเชื้อในกลุ่มไทยออยล์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย และระยะที่ 2 พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มไทยออยล์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการกอบกู้สถานการณ์และการฟื้นฟู ต้องเปิดศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะของพนักงานและผู้รับเหมา ผ่านศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัยที่มีความพร้อมทั้งภาคทฤษฎี (Theory) และภาคปฏิบัติ (Practice) และประเมินความรู้ความสามารถของพนักงานและผู้รับเหมาที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตามระบบใบอนุญาตในการทำงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตตามบทบาทหน้าที่ ผ่านกระบวนการ Competency Assurance System
  • การยกระดับวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน ด้วย Behavior Based Safety (BBS) โดยได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร BBS ให้กับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย (Train for the Trainer) เพื่อนำไปถ่ายทอดและเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาสำหรับใช้สังเกตพฤติกรรมในการทำงานและสั่งหยุดงานเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัย
  • การจัดให้การฝึกอบรมหลักสูตรการขออนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System and Clearance Certificate Signatory) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในระบบใบอนุญาตในการทำงาน
  • การจัดโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากการทำงาน (30-60-90 Days with No Harm No Leak) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นให้พนักงานและผู้รับเหมาเกิดความตระหนักด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมาย คือ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Treatment Case: MTC)
  • การจัดกิจกรรม Thaioil Group QSHE Day ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยฯ ของพนักงานและผู้รับเหมา โดยการมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นด้าน QSHE ประจำปี 2566 และจัดบูธนิทรรศการ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯ ให้กับพนักงานและผู้รับเหมา
  • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ (12 Life Saving Rules) โดยนำวิถีอันตราย (Line of Fire) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎความปลอดภัยพื้นฐาน ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซของ IOGP
  • การรณรงค์และเสริมสร้างการตระหนักถึงอันตราย ได้แก่ วิถีอันตราย และการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการเขียนรายงาน Potential Incident Report (PIR) โดยมุ่งเน้นถึงการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และสภาพการณ์ที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Unsafe Condition) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
  • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในการทำงานของผู้รับเหมา (Contractor Training Matrix) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน 
  • การจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานและผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ รวมถึงรู้และเข้าใจมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในกิจกรรมการทำงาน เช่น หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (Basic Safety in Refinery) หลักสูตรดับเพลิงขั้นต้น (Basic Firefighting) หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศ (Confined Space) และหลักสูตรการปฐมพยาบาล (First Aid) เป็นต้น
  • การอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยเฉพาะ สำหรับพนักงานและผู้รับเหมา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสอดคล้องตามข้อกำหนด เช่น หลักสูตรผู้อนุมัติใบรับรองความปลอดภัย (Authorized Engineer (AE)/ Authorized Gas Safety Inspector (AGSI) Course) หลักสูตรผู้อนุมัติใบอนุญาตทำงาน (Clearance Certificate Signatory) หลักสูตรผู้ตรวจวัดแก๊ส (Authorized Gas Tester) หลักสูตรความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น
  • กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรุกโดยการยกระดับกิจกรรม Management Walk and Talk เป็น GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินกิจกรรม QSHE Roll Out อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการเข้าถึง รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมจิตสำนึกด้านคุณภาพความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงานหรือภายในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ณ ขณะนั้น อีกทั้ง กลุ่มไทยออยล์ยังนำระบบการจัดการต่างๆ ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และมีการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นให้ผู้บริหารได้รับทราบและร่วมหาแนวทางการแก้ไขเป็นประจำ รวมถึงจะมีกระบวนการทบทวน (Management Review) เป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงและจัดทำแผนงานประจำปีต่อไป พร้อมทั้งมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต่อไป

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การทบทวนระบบใบอนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System) โดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนหรือประกายไฟ (Hot Work) รวมถึงรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • จากการประเมินระดับวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2565 ผลการประเมินที่ 4.16 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5.00 คะแนน ซึ่งนำมาด้วยแผนงานพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้เพื่อให้พนักงานและผู้รับเหมามีความตระหนักและให้องค์กรก้าวเข้าสู่องค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ
  • การตรวจสอบระบบใบอนุญาต (Permit to Work Inspection) โดยพนักงานเจ้าของพื้นที่ (Area Operation) และทีมตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Audit Team) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำการ์ดมอบอำนาจสิทธิในการสั่งหยุดงาน (Stop Work Authority) ให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาทุกคน เมื่อพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานมีสภาพการณ์หรือสภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อตนเองและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพย์สินของกลุ่มไทยออยล์ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นและเน้นย้ำถึงการป้องกันและแก้ไขก่อนเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์
  • การประเมินดัชนีชี้วัดสมรรถนะด้านสุขภาพ (Health Performance Indicators) ตามหลักเกณฑ์และแนวทางของ International Association of Oil and Gas Producers (IOGP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดยได้รับคะแนนการประเมินในปี 2566 ที่ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4.00 คะแนน พร้อมจัดทำแผนงานพัฒนาและยกระดับระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของ IOGP ต่อไป
  • การยกระดับการบริหารจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management) ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มีการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยประจำปีของบริษัทผู้รับเหมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party) ทั้งในส่วนของระบบบริหารจัดการและการปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับใช้ในการแบ่งระดับผู้รับเหมา (Contractor Banding) เป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กรณีที่บริษัทผู้รับเหมา มีผลการประเมินฯ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (สีเหลือง หรือ สีแดง) จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมานำเสนอแผนงานและทำการปรับปรุงแก้ไขประเด็นปัญหาให้สอดคล้องตามข้อกำหนดและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเอกสารการประเมินผลด้านเทคนิคของความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการประมูลผู้รับเหมา (Contract SSHE Bidding and Close Out Evaluation)
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติงานที่ปลอดภัย สำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ งานยกของหนักโดยปั้นจั่น งานนั่งร้าน งานที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในเขตพื้นที่โรงกลั่น เป็นต้น และทำการฝึกอบรมและสื่อสารให้กับพนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติหรือฉุกเฉินสำหรับผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้อง ด้วยระบบ SMS เพื่อให้ผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินทราบถึงเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาสนับสนุนการระงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติกรณีเกิดฝนฟ้าคะนองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้พนักงานทราบและดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเป็นการแจ้งเตือนเพื่อเตรียมความพร้อมของทีมระงับเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดไฟไหม้ที่บริเวณขอบถังน้ำมันชนิดหลังคาลอย (Rim Seal Fire)
  • การทบทวนแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า (Pre Incident Plan) ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานสากล รวมถึงการฝึกซ้อมตามแผนที่กำหนด เพื่อเป็นการซักซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า ระดับที่ 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับหน่วยผลิตใหม่ของโครงการ CFP
  • การทบทวนคู่มือการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤติ (Emergency and Crisis Management Manual) และการวางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชุน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต

​การประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

  • การทบทวนการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงและอันตรายที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกัน และมีการตรวจติดตามประสิทธิผลของมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบความปลอดภัย การวิเคราะห์ รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยพนักงานและผู้รับเหมา ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีการทบทวนและตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำทุกเดือน
  • การประเมินความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง และทบทวนมาตรการควบคุมและป้องกันด้านความปลอดภัย โดยกำหนดแผนและมาตรการความมั่นคงและความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ (Defense in Depth) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารเคมี โดยมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในระดับต่างๆ และต่อยอดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินไปสู่ระดับการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ร่วมกับหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ยังคงบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงร้ายแรงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
  • การทบทวนบัญชีอุบัติเหตุที่มีศักยภาพก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง (Major Accident Event) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และการทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินและภาวะวิกฤต รวมถึงแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) ตลอดจนปรับปรุงศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน (Emergency Control Center) ให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติการบริหารจัดการอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ให้ครอบคลุมอุบัติการณ์ทุกประเภท ได้แก่ การบาดเจ็บจากการทำงาน โรคหรือการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อื่นๆ รวมถึงอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต มีการประเมินระดับความรุนแรงและความเสี่ยง โดยใช้ตารางการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) เพื่อกำหนดทีมสอบสวนฯ และวิธีการสอบสวนฯ ที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงและความเสี่ยงของอุบัติการณ์นั้น และต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

การขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx)

  • การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx) เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก และปรับเป้าหมายความปลอดภัยระดับองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว คือ No Harm, No Leak, Goal Zero
  • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินและวิกฤตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแผนกลยุทธ์และเป้าหมายระดับองค์กรใหม่
  • การมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงนำเสนอกรณีศึกษาและประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
  • การเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้งในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ การหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต และงานโครงการก่อสร้าง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนับสนุนความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีด้านภาวะผู้นำความปลอดภัย

SMILE Activity

Working with the right to health

Working with the right to health: กลุ่มไทยออยล์บริหารจัดการและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และมีมาตรการการดูแลรักษาพนักงานอย่างต่อเนื่องจนหายป่วย และสามารกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย (Return to work) โดยกำหนดมาตรการและนโยบายที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของภาครัฐ พร้อมสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มไทยออยล์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งมีการกำหนดนโยบายการปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home Policy) เพื่อให้พนักงานมีสิทธิในการเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตน
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำนโยบายสนับสนุนพนักงานกลุ่มไทยออยล์ “People First for Employee Support Policy” เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและให้ความช่วยเหลือแก่พนักงาน ครอบครัวพนักงาน และสมาชิกชมรมพนักงานเกษียณกลุ่มไทยออยล์ ที่เผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านการเงิน กฎหมาย สุขภาพกาย สุขภาพใจ แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด ปัญหาการสมรส ความเจ็บป่วย ของสมาชิกในครอบครัว การดูแลบุตร ฯลฯ ทั้งในรูปแบบของสิทธิประโยชน์สวัสดิการ และมิใช่สวัสดิการ ตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน

Improving mental health care

Improving mental health care: โครงการ 5 สุข เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาวะของพนักงานวิถีใหม่ (New Normal Work Life) และเพื่อให้พนักงานได้เข้าใจสิทธิที่พนักงานควรได้รับทั้งการดูแลพนักงานรวมถึงพนักงานที่เกษียณอายุในทุกด้านผ่าน โครงการ 5 สุขของกลุ่มไทยออยล์ ได้แก่

Ensuring education for all

Ensuring education for all: การให้ความรู้และสร้างความตระหนักด้านสิทธิมนุษยชน สำหรับพนักงานผ่าน Human Rights E-learning ใน “Thaioil Academy Application” และสำหรับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการบรรยายเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ในงานสัมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ประจำปี 2566 (Supplier Seminar 2023) ณ หอประชุมไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการยอมรับแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Supplier Code of Conduct) เป็นต้น

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future"

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน” ผ่านการจัดงานในรูปแบบ Hybrid เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของกลุ่ม ปตท. และเน้นย้ำให้บุคลากรทุกระดับในกลุ่ม ปตท. นำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยมีคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนบริษัทคู่ค้า และแขกรับเชิญจากหน่วยงานกำกับฯ เช่น ตัวแทนจากมูลนิธิต่อต้านการทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าร่วมงานกว่า 400 คน รวมทั้งมีการเชิญคู่ค้า ลูกค้า และพนักงานเข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ของงานอีกด้วย

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC (GRC Culture Survey) ประจำปี 2566 เพื่อประเมินวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบและข้อบังคับ (GRC) ในภาพรวม โดยผลการสำรวจที่ได้รับจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกำกับดูแลกิจการอย่างเหมาะสมต่อไป

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น คอลัมน์ GRC Corner ในวารสารอัคนี (วารสารภายในองค์กร) GRC Newsletter รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy)

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy) ให้พนักงานทุกคนรับทราบผ่านช่องทางสื่อสารภายในองค์กร ในหลากหลายรูปแบบ เช่น คลิปวีดิโอ E-newsletter เป็นต้นตลอดจนการจัดส่ง “หนังสือขอความร่วมมืองดมอบของขวัญหรือของกำนัลแก่ผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยออยล์” แก่คู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันเหตุปัจจัยที่อาจนำไปสู่การกระทำที่ขัดต่อนโยบายการต่อต้านทุจริต

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning)

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ได้แก่ CG Orientation E-learning สำหรับพนักงานใหม่ ประกอบด้วยหัวข้อหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต และ Anti-Fraud E-learning สำหรับพนักงานปัจจุบัน เพื่อให้ความรู้ที่มาของการเกิดทุจริต และแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตภายในองค์กร

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้ และส่งเสริมพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่โปร่งใส เป็นธรรม ตลอดปี 2566 เช่น กิจกรรม Compliance & CG Talk หัวข้อ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดย นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กิจกรรม Law Focus หัวข้อ การป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดยผู้บริหารจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กิจกรรม GRC in Action บริเวณหน้างาน CEO Townhall ประจำไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 กิจกรรม Good to Great CG Contest เชิญชวนแบ่งปันวิธีการทำงานที่ส่งเสริมแนวทาง CG ในแบบของคุณ เป็นต้น

SAP ECC

ปรับปรุงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่บริษัทฯ ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน หรือ ที่เรียกว่า SAP ECC ให้ยังคงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบ ERP ไปสู่ SAP S/4 HANA ในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027)

Prominence Enhancement

พัฒนาระบบที่ใช้เก็บข้อมูลการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มไทยออยล์ โดยมีข้อมูลในหลายแง่มุม เช่น ประเภทคู่ค้า ราคา ปริมาณการซื้อขาย ช่วงเวลาการซื้อขาย รูปแบบการชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างราคา และช่วยในการตัดสินใจสำหรับการกำหนดรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสมกับคู่ค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรที่มากขึ้น ตามแต่ละสถานการณ์ของตลาดที่มีความผันผวน

Predictive Maintenance Analytics

พัฒนาระบบประมวลผลข้อมูลการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรที่สำคัญในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ เพื่อใช้ทำนายโอกาสที่อุปกรณ์เครื่องจักรเหล่านั้นจะเกิดความเสียหายและหาทางป้องกันล่วงหน้า เพื่อไม่ไห้เกิดเหตุการณ์ Unplan Shutdown และ Unplan Maintenance ต่างๆ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

www.jskem.com.sg 

TOPNEXT ได้ซื้อหุ้นจำนวน 60% ในJSKEM เพื่อขยายธุรกิจด้านจัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศสิงคโปร์ และอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 2021

PT. Tirta Surya Raya

PT. Tirta Surya Raya

TOPNEXT (TX)  ได้ซื้อหุ้นจำนวน 67% ใน PT. Tirta Surya Raya ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar (TSMM) ปี พ.ศ.2560 บริษัทฯได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทน ในประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ TOP Solvent Company Limited (Myanmar Representative Office) เป็นตัวแทนบริษัทฯ ในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อจำหน่ายสินค้า Petroleum และเคมีภัณฑ์ พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 โดยมี บจ. ท็อป โซลเว้นท์ ถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์ และเป็นการลงทุนต่างประเทศครั้งแรกของไทยออยล์ ให้บริการด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารทำละลาย และเคมีภัณฑ์ หลากหลายรูปแบบ เช่น อุตสาหกรรมสี สารเคลือบผิว ทินเนอร์ กาว ตัวประสาน หมึกพิมพ์ อิเลคโทรนิค นํ้ายาทำความสะอาดต่างๆ การสกัดนํ้ามันพืช และอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม Go Dau (เวียดนามใต้) จังหวัด Dong Nai (เวียดนามใต้) และ จังหวัด Hai Phong (เวียดนามเหนือ)

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

www.sakchaisit.com 

มีบริษัท ท็อป เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นผู้ผลิตสารทำละลายไฮโดรคาร์บอนคุณภาพสูง สำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสี, ยางรถยนต์, กาว, น้ำมันพืช, โฟม, พลาสติก, เหมืองทองแดง เป็นต้น