Skip links

ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความท้าทาย ความเสี่ยง

และผลกระทบ 

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญระดับโลกในระยะยาว โดยจัดอยู่ในห้าอันดับแรกตามรายงานของสภาเศรษฐกิจโลก (The World Economic Forum: WEF) การสูญพันธุ์หรือการลดลงของสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม มนุษยชาติ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน Task Force on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) ได้กำหนดกรอบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยกรอบการรายงานดังกล่าวจะขับเคลื่อนและกำหนดให้องค์กรนำปัจจัยด้านการเงินมาประเมินความเสี่ยงและผลกระทบจากความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร นอกจากนี้ ตามข้อตกลงในการปกป้องระบบสิ่งแวดล้อมโลกภายใต้กรอบความหลากหลายทางชีวภาพ คุนหมิง-มอนทรีออล ได้ผลักดันให้ประเทศต่างๆ ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ และนำไปสู่การเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ความมุ่งมั่น

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ ดังนั้น บริษัทฯ จึงบูรณาการการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงพื้นที่ป่าไม้ เข้าไปในการดำเนินธุรกิจ

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม โดยหลีกเลี่ยงการสร้างผลกระทบต่อพื้นที่ป่าไม้สุทธิ โดยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการฟื้นฟูหรือปลูกป่าไม้ เพื่อชดเชยกรณีมีการสูญเสียป่าไม้ จากการดำเนินธุรกิจเกิดขึ้น (No Net Deforestation) เพื่อยืนยันว่าการดำเนินธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์ได้มีการควบคุมให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และมุ่งสู่การไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียคุณค่าสุทธิต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (No Net Loss: NNL) ทั้งบนบกและในน้ำที่ถือว่าเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าของทุกคน

โดยกลุ่มไทยออยล์ได้ยกระดับความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบต่อความหลากหลายทางชีวภาพผ่านนโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการจัดการพลังงาน และคำแสดงเจตจำนงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์ (Thaioil and Subsidiaries’ Biodiversity Statement) โดยได้รับการพิจารณาและลงนาม
จากคณะกรรมการบริษัทฯ (Board of Directors) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) เพื่อผลักดันการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง

นโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการจัดการพลังงาน กลุ่มไทยออยล์

คำแสดงเจตจำนงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์

แนวทางการดำเนินงาน

และผลการดำเนินงาน

กลุ่มไทยออยล์ได้นำคู่มือบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการบริการของระบบนิเวศที่ได้มีการทบทวนร่วมกับกลุ่ม ปตท.
(PTT Group Biodiversity and Ecosystem Service)

ซึ่งได้พัฒนาและบูรณาการมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น แผนปฏิบัติการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย, GRI Sustainable Reporting Standard (GRI Standard), IPIECA และอื่นๆ เป็นต้น มาใช้ในการประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์ โดยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการฟื้นฟูหรือปลูกป่าไม้ เพื่อชดเชยกรณีมีการสูญเสียป่าไม้ จากการดำเนินธุรกิจเกิดขึ้น (No Net Deforestation) และมุ่งสู่การไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียคุณค่าสุทธิต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (No Net Loss) ทั้งบนบกและในน้ำ

การประเมินความเสี่ยงและผลกระทบ

ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

กลุ่มไทยออยล์จำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ดำเนินงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว ลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และลดความเสี่ยงจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อองค์กร ดังนี้
  • ความเสี่ยงทางธุรกิจ: การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอันเนื่องมากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ การแปรปรวนของฤดูกาล อาจส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: การยกระดับความเข้มงวดของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับความหลากหลายทางชีวภาพอาจส่งผลให้ต้นทุนทางธุรกิจและความซับซ้อนในการดำเนินงานสูงขึ้น
  • ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์: หากกลุ่มไทยออยล์ไม่สามารถบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างสมดุล อาจส่งผลให้ภาพลักษณ์ในเชิงลบต่อการดำเนินธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ รวมถึงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้เสีย เช่น นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นต้น ที่ให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ 
  • ความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมและชุมชน: การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอาจก่อให้เกิดประเด็นปัญหาต่อความเป็นอยู่ของชุมชนและส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจขิงกลุ่มไทยออยล์ในระยะยาว
ดังนั้น กลุ่มไทยออยล์ได้ประยุกต์ใช้เครื่องมือการประเมินความเสี่ยงทางความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่ม ปตท. ซึ่งนำแนวทางการจัดทำรายงาน GRI reporting Protocols และแบบประเมิน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) มาปรับใช้เพื่อกำหนดวิธีการและแนวทางการประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศ โดยมีการใช้ข้อมูลจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ เช่น เครื่องมือการประเมินความหลากหลายทางชีวภาพ (Integrated Biodiversity Assessment Tool: IBAT) และ WWF Biodiversity Risk Filter รวมถึง IUCN Red List เป็นต้น

กระบวนการประเมินความเสี่ยงทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

การประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่พึ่งพาบริการจากธรรมชาติ (Dependency-related biodiversity risks considered in risk assessment)

การประเมินความเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่พึ่งพาบริการจากธรรมชาติของกลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละประเภท ณ พื้นที่ตั้งต่างๆ นั้น สามารถประเมินโดยใช้เครื่องมือที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น WWF Biodiversity Risk Filter และ Encore เป็นต้น

กลุ่มไทยออยล์ได้ประเมินความเสี่ยงดังกล่าวผ่านเครื่องมือ WWF Biodiversity Risk Filter สำหรับการประเมิน Dependency โดยเครื่องมือนี้จะจัดอันดับระดับการพึ่งพาบริการจากธรรมชาติตามประเภทของอุตสาหกรรม เช่น โรงกลั่นน้ำมัน โรงไฟฟ้า และปิโตรเคมี เป็นต้น โดยระดับการพึ่งพามีตั้งแต่ระดับต่ำไปถึงสูงมาก (1-5) และมีระดับที่ไม่พึ่งพาเลย (0) ทั้งนี้ ผลการประเมินพบว่า กลุ่มไทยออยล์เป็นพื้นที่ที่มีระดับการพึ่งพาสูงถึงสูงมาก ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

  • การขาดแคลนน้ำ (Water Scarcity)
  • อากาศร้อนจัด (Extreme Heat)
  • การเปลี่ยนแปลงของการใช้ประโยชน์ที่ดิน น้ำจืด และน้ำทะเล (Land, Freshwater and Sea Use Change)
  • การสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ (Tree Cover Loss)
  • มลพิษ (Pollution)

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ผลการประเมินพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มไทยออยล์ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องและพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพสำคัญ โดยระยะทางระหว่างพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มไทยออยล์และพื้นที่ที่ได้รับการปกป้องและพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า 5 กิโลเมตร ดังแสดงในตาราง

จำนวนพื้นที่ปฏิบัติงาน
พื้นที่ปฏิบัติงาน
ไร่
เฮกตาร์
พื้นที่ปฏิบิติการทั้งหมด
1
1,890
302.4
พื้นที่ปฏิบิติการที่ได้รับการประเมินทั้งหมด
1
1,890
302.4
พื้นปฏิบิติการที่เผชิญความเสี่ยง
0
0
0
แผนการบริหารจัดการ
0
0
0

หมายเหตุ: พื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มไทยออยล์ครอบคลุมบริษัท TOP, TLB, TPX, LABIX, TOPSPP ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

แนวทางการบรรเทาผลกระทบ

อย่างมีลำดับชั้น (Mitigation Hierarchy)

กลุ่มไทยออยล์ได้นำคู่มือการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและบริการนิเวศของกลุ่มปตท. รวมถึงแบบประเมินDJSI มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแนวทางการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและบริการของระบบนิเวศรวมถึงการประเมินความเสี่ยง

อีกทั้งยังได้ประยุกต์ใช้หลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับขั้น (Mitigation Hierarchy Principle) ในการป้องกัน หลีกเลี่ยง บรรเทา ฟื้นฟู และชดเชยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า และทำการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งยังได้ประยุกต์ใช้หลักการบรรเทาผลกระทบตามลำดับขั้น (Mitigation Hierarchy Principle) ในการป้องกัน หลีกเลี่ยง บรรเทา ฟื้นฟู และชดเชยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อความหลากหลายทางชีวภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า

กระบวนการประเมินความเสี่ยงทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ความร่วมมือกับเครือข่าย
ด้านความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ

องค์กร/ หน่วยงานภายนอก

สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา

ความร่วมมือกับเครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเลบริเวณพื้นที่ท่าเทียบเรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

โครงการศึกษาผลกระทบของการรั่วไหลของน้ำมันดิบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง และทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล บริเวณชายฝั่งเกาะสีชัง และเกาะค้างคาว จังหวัดชลบุรี

องค์กร/ หน่วยงานภายนอก

สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) จังหวัดชลบุรี

กรมวิทยาศาสตร์ทหารเรือ

ประมงจังหวัดชลบุรี

สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2

ผู้แทนสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13

ความร่วมมือกับเครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

หารือการจัดทำแผนเฝ้าติดตามและแผนฟื้นฟู ร่วมกับหน่วยงานราชการ

กำหนดแผนการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

จัดทำแผนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับภาครัฐและประชาชน

ร่วมพิธีลงนาม บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะภาคีเครือข่ายป่าชายเลน ประเทศไทย

องค์กร/ หน่วยงานภายนอก

สํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ (สจป. 3 สาขาแพร่)

ความร่วมมือกับเครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

ดําเนินโครงการปลูกป่า ประจําปี 2567 ในจังหวัดแพร่ร่วมกับประธานและสมาชิกวิสาหกิจชุมชน

องค์กร/ หน่วยงานภายนอก

ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 22 (ปะเหลียน ตรัง)

บริษัท ซีแมน จํากัด

ความร่วมมือกับเครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

จัดประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างกระบวนการรับรู้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนใน โครงการปลูกป่าชายเลนฯ ที่หมู่ที่ 2 บ้านหยงสตาร์และหมู่ที่ 4 บ้านทุ่งรวงทอง อําเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง

ปรับปรุงและฟื้นฟูป่าชายเลนรวมถึงระบบนิเวศ

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

ปี
โครงการ
2563
• ร่วมกับกลุ่ม ปตท. ในการพัฒนาคู่มือแนวทางการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและบริการของระบบนิเวศของกลุ่ม ปตท.
• ประยุกต์ใช้เครื่องมือการประเมินความเสี่ยงของกลุ่ม ปตท. เพื่อประเมินความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์
2564
• ทบทวนผลการประเมินความเสี่ยงทางความหลากหลายทางชีวภาพและบริการของระบบนิเวศของกลุ่มไทยออยล์
2565
• ประกาศคำแสดงเจตจำนงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์ประจำปี 2565
2566
• ยกระดับนโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการจัดการพลังงาน กลุ่มไทยออยล์ และคำแสดงเจตจำนงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์ โดยได้รับการลงนามจากคณะกรรมการบริษัทฯ (Board of Director)
• ดำเนินโครงการศึกษาติดตามผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล ที่ทุ่นผูกเรือน้ำลึกกลางทะเล (SBM-1) ต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศแนวปะการังบริเวณชายฝั่งเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี
• ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเลบริเวณพื้นที่ท่าเทียบเรือ บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
2567
• พัฒนาและจัดทำคู่มือแนวทางการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและบริการของระบบนิเวศของกลุ่มไทยออยล์
• ทบทวนการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบทางความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการประเมิน Dependency ของกลุ่มไทยออยล์
• โครงการศึกษาผลกระทบของการรั่วไหลของน้ำมันดิบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง และทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล บริเวณชายฝั่งเกาะสีชัง และเกาะค้างคาว จังหวัดชลบุรี ระยะเวลา 3 ปี
• โครงการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเลบริเวณพื้นที่ท่าเทียบเรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ระยะเวลา 3 ปี
• โครงการฟื้นฟูทรัพยากร และระบบนิเวศชายฝั่ง บริเวณเกาะสีชัง ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเลเกาะสีชัง โดยชุมชน เพื่อชุมชนยั่งยืนฯ
• จัดสัมมนาคู่ค้า (Supplier Relationship Seminar: SRM) และสื่อสารแนวทางปฏิบัติอย่างยั่งยืนให้กับคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Sustainable Code of Conduct for Suppliers of Thaioil Group: SCOC) ประจำปี 2567

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินโครงการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนี้

เอกสารดาวน์โหลด

คำแสดงเจตจำนงด้านความหลากหลายทางชีวภาพของกลุ่มไทยออยล์

กระบวนการประเมินความเสี่ยงทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ

กลุ่มไทยออยล์คืบหน้าในการปลูกป่าแล้วกว่า 8,000 ไร่

เมื่อเดือนกันยายน 2567 ทีมงานแผนกกิจการเพื่อสังคม บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) ลงพื้นที่ตรวจติดตาม ความคืบหน้าในการดําเนินโครงการปลูกป่า ประจําปี 2567 ในจังหวัดแพร่ ร่วมกับ รศ.ดร. แหลมไทย อาษานอก ที่ปรึกษาด้านการปลูกและบํารุงรักษาป่า และเจ้าหน้าที่ประจําแปลงปลูกของแต่ละพื้นที่จาก สํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 สาขาแพร่ (สจป. 3 สาขาแพร่) โดยมีประธานและสมาชิกวิสาหกิจชุมชนที่ดําเนินการปลูกป่า แต่ละแห่งให้การต้อนรับ ซึ่งพบว่า การดําเนินงานในพื้นที่ทั้ง 5 แห่งมีความคืบหน้าในการปลูกป่าแล้วกว่า 5,000 ไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมกว่า 3,000 ไร่           การดําเนินงานในครั้งนี้ถือว่า มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถดําเนินการปลูกป่าในพื้นที่บ้านโคนป่าหิน หมู่ที่ 4 ต.แม่ปาน อ.ลอง ครบทั้ง 800 ไร่ พื้นที่บ้านเปาปม – ดงยาง หมู่ที่ 7 ต.นาพูน อ.วังชิ้น ในแปลงที่ 1 ครบ 2,500 ไร่ และพื้นที่ บ้านนาพูน หมู่ที่ 1 – 2 ในแปลงที่ 1 ต.นาพูน อ.วังชิ้น ครบ 1,000 ไร่ ทั้งนี้ วิสาหกิจชุมชนอีก 2 แห่งกําลังเร่งดําเนินการปลูกป่า ให้เสร็จเต็มพื้นที่ให้ทันฤดูกาลปลูก ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2567 ด้วย

ไทยออยล์สำรวจศักยภาพ ในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) นำโดย ผู้จัดการ-กิจการเพื่อสังคม นำทีมลงพื้นที่สำรวจศักยภาพและความพร้อมในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับ โรงพยาบาลพยม อำเภอพนม จังหวัดสุราษฏร์ธานี ภายใต้แนวคิด “Sustainable Energy for Health Care” ตอกย้ำวิสัยทัศน์องค์กรที่มุ่งมั่น “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงาน และเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”

SAKC ร่วมกิจกรรมวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล จังหวัดระยอง ประจำปี 2567 (ครั้งที่ 22)

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2567 บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ์ จํากัด (SAKC) โดย คุณขวัญชัย ไชยฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ นําพนักงาน พนักงานผู้รับเหมา และครอบครัว ร่วมทําความสะอาดและเก็บขยะบริเวณหาดสุชาดา อําเภอเมือง จังหวัดระยอง เนื่องในวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากลจังหวัดระยอง ประจําปี 2567 (ครั้งที่ 22) จัดโดย สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับกลุ่มบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่มาบตาพุดและบ้านฉางและใกล้เคียง เพื่อเป็นการแสดงพลังของภาคอุตสาหกรรมในการร่วมรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการสร้างจิตสํานึกในการรักษาความสะอาดชายฝั่งทะเลอีกด้วย

ไทยออยล์สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อการปลูกป่าอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 คุณอรรจน์ วิสุทธิถาวรวงศ์ ผู้จัดการ – กิจการเพื่อสังคม บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) พร้อมทีมงาน จัดประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างกระบวนการรับรู้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนใน โครงการปลูกป่าชายเลนฯ ที่หมู่ที่ 2 บ้านหยงสตาร์และหมู่ที่ 4 บ้านทุ่งรวงทอง อําเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากบริษัท ซีแมน จํากัด ผู้ดูแลการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ดังกล่าว และคุณนธร หลังหลัง ผู้อํานวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 22 (ปะเหลียน ตรัง) ซึ่งได้รับความสนใจจาก ประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟังและสอบถามข้อมูลเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังถือเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทฯ ได้ศึกษาชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชุมชน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่แปลงปลูกป่า ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างรายได้ เพื่อให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

           ในโอกาสเดียวกันนี้ ทีมงานยังได้ลงพื้นที่แปลงปลูกติดตามความคืบหน้าการเตรียมพื้นที่ เพื่อดําเนินการปลูกป่าชายเลน โดยพบว่า แปลงปลูกของบริษัทฯ มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายพันธุ์เข้ามาอยู่อาศัยและพบร่องรอย การจับสัตว์น้ําจากชุมชน ในการนี้ หากบริษัทฯ นําความอุดมสมบูรณ์กลับคืนสู่ป่าผืนนี้ได้ ก็จะเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ให้ทั้งชาวบ้านในชุมชนและสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่ในระยะยาว

พนักงานจิตอาสา EOSL ร่วมปลูกป่า ซ่อมแซมศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาเขียว

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 พนักงานจิตอาสาแผนกห้องปฏิบัติการทดสอบ (EOSL) บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) จํานวน 60 คน จัดกิจกรรมจิตอาสา “ปลูกป่า ซ่อมแซมศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาเขียว” ณ อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาเขียวแห่งนี้เป็นศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าแห่งแรกในประเทศไทยที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการ

          กิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความสมบูรณ์ของพื้นที่ป่าไม้โดยพนักงานจิตอาสา EOSL ได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ต้องการการบูรณะเพิ่มเติม เพื่อให้กลับมามีสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้ง นอกจากนี้ ยังได้มอบอุปกรณ์ที่จําเป็น เช่น เก้าอี้ โต๊ะ และหม้อน้ําร้อนไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนการทํางานและการบริการของศูนย์ศึกษา ธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาเขียว ในการดูแลรักษาพื้นที่ป่าไม้และให้ความรู้แก่ประชาชนต่อไป

ไทยออยล์ปลูกป่าชายเลน จำนวน 300 ไร่

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567  ทีมงานแผนกกิจการเพื่อสังคม บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) ลงพื้นที่ โครงการปลูกป่าชายเลน จํานวน 300 ไร่ ที่หมู่ 2 – 4 บ้านหยงสตาร์และบ้านทุ่งรวงทอง อําเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง พร้อมนายนธร หลังหลัง ผู้อํานวยการศูนย์อนุรักษ์ ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 22 (ปะเหลียน ตรัง) และเจ้าหน้าที่จากบริษัท ซีแมน จํากัด ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลการปลูกป่าชายเลน ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อหารือถึงแนวทาง ตลอดจนวางแผนการดําเนินงานปลูกป่า เพื่อปรับปรุงและฟื้นฟูป่าชายเลนและระบบนิเวศ ที่มีอยู่เดิมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

ไทยออยล์ร่วมงานวันป่าชายเลนโลก พร้อมแสดงเจตนารมณ์ในฐานะภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) ในฐานะสมาชิกภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย เข้าร่วมงานการประกาศความร่วมมือภาคีเครือข่ายป่าชายเลน ประเทศไทย เนื่องในวันป่าชายเลนโลก ประจําปี พ.ศ. 2567 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยมี ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี

         ทั้งนี้ ภายในงาน มีการจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย พร้อมทั้งฉายวิดีทัศน์ แสดงเจตนารมณ์ของสมาชิกภาคีฯ ซึ่งคุณบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้แสดงเจตนารมณ์ที่ “พร้อมสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างการเติบโต อย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”

“ไทยออยล์” นำความรู้เชิงวิศวกรรมพัฒนา โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 5 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) นําผู้ช่วยวิศวกรโครงการไฟฟ้า จากฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ พร้อมผู้รับเหมาลงพื้นที่ตรวจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านท่าวังหิน โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านเขาจ้าว และโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านแพรกตะคร้อ รวมถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตําบลเขาจ้าว และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบึงนคร รวมทั้งหมด 5 แห่ง ในพื้นที่อําเภอหัวหิน และอําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โครงการฯ นี้มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกําลังการผลิตติดตั้งรวม 40.92 กิโลวัตต์ เพื่อเพิ่ม ความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาในพื้นที่ห่างไกลให้มีไฟฟ้าใช้ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของครูและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมถึงลดต้นทุนการซื้อน้ํามันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

           นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังมุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ในเรื่องการใช้งานและการดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับบุคลากร ในพื้นที่อีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กรที่มุ่งมั่น “สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน”

กลุ่มไทยออยล์ส่งมอบ โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ให้กีบโรงพยาบาลเกาะสีชัง

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 คุณบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จํากัด (มหาชน) ได้ส่งมอบ “โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ให้กับ โรงพยาบาล เกาะสีชัง” โดยมี ทันตแพทย์หญิงอานะสิทธิ์ ศัลยพงษ์ ผู้อํานวยการ โรงพยาบาลเกาะสีชัง เป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ คุณธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี คุณอภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ได้ให้เกียรติเข้าร่วมในพิธี โดย ไทยออยล์ ได้สํารวจ ออกแบบ และติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกําลังการผลิตติดตั้ง 52.70 กิโลวัตต์ ให้กับโรงพยาบาลเกาะสีชัง ซึ่งคาดว่าจะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 300,624 บาท ต่อปี และลดก๊าซเรือนกระจกได้ 32.15 ตันต่อปี โดยโรงพยาบาลฯ จะนําผลประหยัดค่าไฟฟ้าไปดําเนิน “โครงการลดเสี่ยง ลดโรค ห่างไกลโรคหลอดเลือดสมอง” ด้วยการจัดซื้อ ครุภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยบรรเทาอาการผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีอาการมาจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะที่สมองขาด เลือดไปเลี้ยงเนื่องจากหลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแตก และพัฒนาโครงการผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่อไป

ไทยออยล์ร่วมกับ สทช. 2 เทิดพระเกียรติ ร.10 ใน “โครงการรวมใจภักดิ์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เฉลิมพระเกียรติฯ”

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 คุณอรรจน์ วิสุทธิถาวรวงศ์ ผู้จัดการ กิจการเพื่อสังคม เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้าร่วม “โครงการรวมใจภักดิ์ อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ซึ่งสํานักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดขึ้น ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและอนุรักษ์ป่าชายเลน เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จังหวัดชลบุรี โดยมีคุณชัยพร แพภิรมย์รัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี

       ในกิจกรรมดังกล่าว บริษัทฯ ได้ร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลนและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา (ปลากระพงและปูทะเล) นอกจากนั้น ยังได้สนับสนุนอาหารว่างและเครื่องดื่มให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย

กลุ่มไทยออยล์ ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านตลาดไทยออยล์กลั่นสุข ครั้งที่2 ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 คุณบัณฑิต ธรรมประจําจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารกลุ่มไทยออยล์ เยี่ยมชม “ตลาดไทยออยล์กลั่นสุข กลั่นอาชีพ กลั่นรอยยิ้ม สู่ชุมชน” ครั้งที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้า และผลิตภัณฑ์ให้ชุมชนรอบโรงกลั่น ร้านค้าในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดอื่นๆ รวมถึงเป็นเวทีให้ร้านค้า นําสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ทําร่วมกับกลุ่มไทยออยล์มาจัดแสดงและจําหน่าย เช่น เทียนหอมที่ผลิตจากไขดิบ (Slack Wax) ของบริษัท ไทยลู้บเบส จํากัด (มหาชน)

        ภายในงาน มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เรื่องการนํากลับมาใช้ซ้ํา (Reuse) ให้กับพนักงานกลุ่มไทยออยล์ ภายใต้ชื่อ “เปลี่ยนเก่า ให้เป็นใหม่ สไตล์โกกรีน” นอกจากนี้ แผนกสิ่งแวดล้อมยังได้ร่วมจัดนิทรรศการความหลากหลายทางชีวภาพกับการดําเนินธุรกิจเพื่อสร้างความตระหนัก เรื่องระบบนิเวศให้กับพนักงาน รวมทั้งเสนอการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเลบริเวณท่าเทียบเรือของบริษัทฯ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการจัดการทรัพยากรทะเลของบริษัทฯ อย่างยั่งยืน

SAKC จัดกิจกรรมปลูกชายเลน ปากน้ำประแส จังหวัดระยอง ครั้งที่ 8

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ์ จํากัด นําพนักงาน พนักงานผู้รับเหมา และครอบครัว ร่วมปลูกป่าชายเลนและปล่อยพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปูทะเล ใน “โครงการปลูกป่า รัก SAKC รักษ์ป่าชายเลน” ครั้งที่ 8 เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวสําหรับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามนโยบาย Net Zero ของ กลุ่มไทยออยล์ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้พนักงานและครอบครัวตระหนักรู้ถึงคุณค่าและความสําคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล

ชายฝั่ง นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมวิถีชีวิตและอุดหนุนสินค้า เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจของชาวบ้านตลาดบ้านเก่า ริมน้ําประแสอีกด้วย กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ พื้นที่ป่าชายเลน ปากน้ําประแส อําเภอแกลง จังหวัดระยอง

ไทยออยล์ร่วมพิธีลงนาม MOU กับ ทช. ในฐานะภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย

 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 คุณถิรยุทธ ลิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการสัมพันธ์ เป็นผู้แทนบริษัทฯ ร่วมพิธีลงนาม บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะภาคีเครือข่ายป่าชายเลน ประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 30 แห่ง ณ ห้องประชุมลําแพน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อร่วมกัน ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนให้เกิดความยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต โดยมี ดร. ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นประธานในพิธี

นักลงทุนสัมพันธ์

ข่าวสารและประกาศ

ติดต่อเรา

ร่วมงานกับเรา

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรก โดยผนวกเนื้อหาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปฐมนิเทศสำหรับพนักงานใหม่พร้อมกับส่งมอบคู่มือ CG ผ่านระบบ CG Reporting ส่งผลให้พนักงานใหม่ได้รับการสื่อสารข้อมูลและฝึกอบรม ครบร้อยละ 100 

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ อาทิ Fundamental of Refinery Process และ Business Overview & Refinery Overview เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาพรวมธุรกิจของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และสถานการณ์ตลาดมากยิ่งขึ้น

การจัดกิจกรรม "Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567

การจัดกิจกรรม “Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567 เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีจ่ายน้ำมัน ผู้ประสานงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ห้องตั๋วและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity”

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity” ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ของชาติ รวมถึงงานศิลปกรรม ร่วมกับลูกค้า ณ พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2567

Innovation Talk

เป็นกิจกรรมที่มีการเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมมาให้ความรู้กับพนักงาน เช่น อาจารย์ธงชัย โรจน์กังสดาล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด, คุณณัฐภัทร ธเนศวรกุล ที่ปรึกษาด้านการวัดระดับนวัตกรรมองค์กร จาก บริษัท ไรส์ แอคเซล จำกัด และคุณซีเค เจิง CEO ของ บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด เป็นต้น โดยในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 15 และความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 93 เป็น 94 จาก 100 คะแนนเต็ม และในแต่ละครั้งมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมาก ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

TOP BCG Updates

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ e – Mail รายเดือนเพื่อเพิ่มความรู้ทางด้าน BCG ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประกอบไปด้วยนโยบายการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ 3 ระบบของรัฐบาลไทย ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน และนวัตกรรมในการลดโลกร้อนต่าง ๆ โดยในปี 2567 ภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

TOP Innovation E-newsletter

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Mail) รายสัปดาห์ ส่งให้แก่พนักงานทุกคนในกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ และกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่นวัตกรพึงมีและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน รวมถึงการให้ข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยในปี 2567 มีการเผยแพร่บทความ TOP Innovation e-Newsletter ทั้งหมด 39 ฉบับ มียอดผู้อ่านบทความรวมกว่า 24,707 ครั้ง โดยได้คะแนนความพึงพอใจจากผู้อ่านอยู่ในระดับดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

กิจกรรม Innovation and Learning Day 2024 ประจำปี 2567

กิจกรรม Innovation Failure Challenge

กิจกรรม Innovation Roadshow

กิจกรรม Innovation Idea Challenge

Generating New Actionable Ideas through Change Agent SME
Idea Facilitation & LO Inspirer Workshop

การจัดกิจกรรม Workshop การพัฒนา Change Agent โดยคัดเลือกตัวแทนหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือก โดยกลุ่มของ Change Agent จะได้รับการพัฒนา ให้ความรู้ ทักษะ และเครื่องมือ เพื่อใช้ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมและคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ภายในหน่วยงานตนเอง

CEO Townhall และ Management Meeting

การจัดกิจกรรมการสื่อสารโดย CEO ถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อเน้นย้ำทิศทาง กลยุทธ์ รวมถึงแผนและผลการดำเนินงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงในการนำการเปลี่ยนแปลงลงมาสู่องค์กรและพนักงานทุกคน รวมถึงการรายงานความคืบหน้าของโครงการ Innovation Culture Awareness ในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นผู้บริหารระดับสูงสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง

Building Innovation Culture Awareness through Top
Management Workshop (Management Outing Workshop)

การจัดกิจกรรม Workshop สำหรับผู้บริหาร เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การสร้าง Innovation Culture Awareness ให้กับพนักงานในสายงาน/ ฝ่ายของตนเอง ผ่านพฤติกรรมหลัก “Lead to Innovation Culture” รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากรภายนอกถึงแนวคิดการสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร และการฝึกปฏิบัติการใช้พฤติกรรม i-LEAD as a Role Model

โครงการ Teach for Thailand

วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนาครูผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพปฏิบัติหน้าที่ในฐานะครูผู้ช่วยสอนนักเรียนในระดับชั้นมัธยมต้น

ประเภทโครงการ

โครงการ Teach for Thailand

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่ครูผู้สอนจำนวน 2 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ช่วยสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 

3 ที่โรงเรียนวัดมโนรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่ตั้งใกล้กับโรงกลั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งมีผลการประเมินการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจ ดังนี้
1. นักเรียนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 489 คนในปีการศึกษา 2567
2. พัฒนาการด้านวิชาการ และคุณลักษณะนิสัย และทักษะที่จำเป็นของนักเรียนปรับเพิ่มขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ย Post-test อยู่ที่ 28.51 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ย Pre-test ในภาคเรียนที่ 1 ที่ 27.57 คะแนน และพบว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างและพัฒนาคุณลักษณะนิสัยของนักเรียน ทั้งด้านความพยายาม กรอบความคิดแบบเติบโต และการเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เช่นเดียวกับการสร้างและพัฒนาทักษะที่จำเป็นของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์ ความร่วมมือ และการตระหนักรู้ในตนเอง
3. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการสอน เช่น วีดิทัศน์ บอร์ดเกม โปรแกรมออนไลน์ เป็นต้น ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการและมีทัศนคติที่ดีต่อสาขาวิชาที่เรียนมากขึ้น โดยสามารถตอบคำถาม จำแนกตัวอย่าง และทำงานร่วมกันเป็นทีมกับเพื่อนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี
4. นักเรียนส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและพัฒนาการในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5. ผู้อำนวยการและบุคลากรในโรงเรียนมีความพึงพอใจต่อครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยมีคะแนนรวมความพึงพอใจ 9.1 คะแนนจาก 10 คะแนน และเล็งเห็นว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความรู้ ความสามารถ และลักษณะนิสัยที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานในบริบทที่ท้าทาย ร้อยละ 92 นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนกันอย่างสม่ำเสมอ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำในภาคการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศผ่านการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และวางแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินกิจกรรม ภายใต้โครงการ PTT Group Model School และ CONNEXT ED ในปี 2567 ดังนี้
1. โครงการเตรียมความพร้อมสู่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) พื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การให้ความรู้แก่เยาวชนให้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) และสนับสนุนให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ IoT ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต โดยมีโรงเรียนภายใต้โครงการ CONNEXT ED ของกลุ่ม ปตท. เข้าร่วมกิจกรรม 2 แห่ง และมีครูผู้สอน 2 คน และนักเรียน 6 คน เข้าร่วมโครงการฯ
2. โครงการจิตอาสากลุ่มไทยออยล์ โดยนำพนักงานจิตอาสาไปบรรยายให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และคลินิกฟุตบอล ฟุตซอล เทเบิลเทนนิส และวอลเลย์บอล ให้แก่นักเรียนในชุมชนรอบโรงกลั่น

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศไทย และเป็นการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนในพื้นที่รอบแปลงปลูกป่า

ประเภทโครงการ

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต จำนวน 8,656.22 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น
1.  การปลูกป่า จำนวน 8,300 ไร่ในจังหวัดแพร่ ร่วมกับกรมป่าไม้
2. การปลูกป่าชายเลน จำนวน 356.22 ไร่ในจังหวัดตรังและจังหวัดชลบุรี ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ซึ่งคาดว่า จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 88,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพจากการคัดเลือกชนิดไม้พื้นถิ่นเข้ามาปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่แปลงปลูกป่า

ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้สนับสนุนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน 4 แห่ง เพื่อดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่า ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งยังให้การสนับสนุนองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ผืนป่า นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการต่อยอดอาชีพ ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

วัตถุประสงค์

เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานและสร้างนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในองค์กร

ประเภทโครงการ

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน 

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้ โครงการ Thaioil CE WE GO ในปี 2567 ดังนี้

1. จัดอบรมการฝึกอบรมสำนักงานสีเขียว (Green Office) สำหรับพื้นที่อาคารออดิทอเรียม และศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน จำนวน 2 ครั้ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนโครงการสำนักงานสีเขียว (Green Office) กับกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ให้กับศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน และอาคารออดิทอเรียม โรงกลั่นไทยออยล์
2. จัดกิจกรรมนำผู้แทนครัวเรือนนำร่อง 10 ครัวเรือนและคณะกรรมการชุมชนบ้านนาเก่าไปเยี่ยมชมการดำเนินโครงการชุมชนต้นแบบการจัดการขยะในจังหวัดระยอง

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) และสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้แก่ชุมชนและสังคม

ประเภทโครงการ

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์จัดกิจกรรมสร้างเสริมองค์ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการของเสียและการจัดการระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบุญจิตวิทยา โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 และโรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 (มูลนิธิไต้ล้ง – เช็ง พรประภา) จังหวัดชลบุรี ผ่านกิจกรรมการจัดการของเสีย 4 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ การคัดแยกขยะ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร การรีไซเคิลน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และการแปลงขยะเป็นรายได้ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 – เดือนตุลาคม 2567 พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ มีปริมาณขยะรีไซเคิลรวม 12,240.24 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 27,725 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนั้น ยังมีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ และนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในการทำกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

โครงการ "Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงการคัดแยกขยะและรีไซเคิลให้แก่นักเรียน เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม และ สนับสนุนการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะในโรงเรียนและสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืน

ประเภทโครงการ

โครงการ “Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ต่อยอดจากกิจกรรม “Thaioil Run For the Green Future 2024” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อลดขยะพลาสติกในโรงเรียน และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน โดยบริษัทฯได้ส่งมอบอุปกรณ์คัดแยกขวดน้ำพลาสติกให้โรงเรียนในพื้นที่แหลมฉบังจำนวน 8 แห่ง จากนั้น โรงเรียนจะส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติก เพื่อนำส่งให้บริษัทฯ นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ซึ่งนักเรียนสามารถนำขวดพลาสติกดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เป็นประโยชน์ เช่น ถุงเท้า อุปกรณ์การเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์ทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

วัตถุประสงค์

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบของขยะพลาสติกที่มีต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการลด ละ เลิกการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียว

ประเภทโครงการ

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จัดกิจกรรมแปรรูปขยะเป็นไม้กวาด ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ลักษณะของขยะแต่ละประเภท และร่วมประดิษฐ์ไม้กวาดจากขวดพลาสติก เพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกอันดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

วัตถุประสงค์

เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์

ประเภทโครงการ

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมสนับสนุนการปล่อยพันธุ์สัตว์ทะเลของกลุ่มประมงที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านอ่าวอุดม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเล เพื่อสร้างสมดุลทางทะเลในเขตอ่าวอุดม โดยในปี 2567 บริษัทฯ ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ อาทิ พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กุ้งขาว ลูกปูม้า หมึก ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ พร้อมทั้งร่วมเก็บขยะบริเวณชายหาดชุมชนติดชายฝั่งทะเลอีกด้วย

โครงการด้านการศึกษา

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา และสนับสนุนเยาวชนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ประเภทโครงการ

โครงการด้านการศึกษา

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาที่มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 252 ทุน และกองทุนกลุ่มไทยออยล์เพื่อสถาบันการศึกษาให้แก่สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา จำนวน 11 กองทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,900,000 บาท ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไปในพื้นที่ศรีราชา ณ ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในปี 2567 ดังนี้

1. ร่วมมือกับคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน และร่วมกิจกรรมเปิดบ้านวิชาการกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อจัดนิทรรศการแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอม โดยมุ่งเน้นการนำเสนอขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
2. จัดหลักสูตรทำเทียนหอมสำหรับจัดชุดของชำร่วย โดยใช้สแลคแว็กซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มไทยออยล์ มาเป็นวัตถุดิบ นอกจากนั้น ยังมีการจัดหลักสูตรผู้ประกอบการยุค 2024 ประกอบด้วยหลักสูตรทำเหรียญโปรยทาน และหลักสูตรสลายเศษด้วยถัง สลายมันด้วยฟอง ซึ่งเป็นการผลิตน้ำยาล้างและทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คน

โครงการเดิน - วิ่ง 1 แสนกิโล

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ชุมชนออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และได้รับองค์ความรู้ด้านสุขภาพใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองและครอบครัว

ประเภทโครงการ

โครงการเดิน – วิ่ง 1 แสนกิโล

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์เชิญชวนประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่นมาออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่งและร่วมกันสะสมระยะทาง โดยการบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “นับก้าว” ให้ได้ระยะทางรวม 100,000 กิโลเมตร โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 175 คน และมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลที่ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชนรวม 2 ครั้ง

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากของนักเรียน

ประเภทโครงการ

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ให้บริการทันตกรรม ตรวจสุขภาพช่องปาก อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรซ์ ขูดหินปูน และส่งเสริมป้องกันฟันผุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 4,520 รายที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่ง

โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ร่วมกับกลุ่ม ปตท

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในการเตรียมความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศ

กรอบการดําเนินงาน

1. ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ
2.ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ
3. ประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่นอกเหนือจาก พื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมกับกลุ่ม ปตท. บรรจุและส่งมอบถุงยังชีพกว่า 20,800 ถุง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และยารักษาโรคที่จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดแพร่ น่าน สุโขทัย พะเยา พิษณุโลก หนองคาย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

โครงการ “คุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4”

วัตถุประสงค์

ส่งเสริมค่านิยมให้พนักงานดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยจิตอาสาและส่งเสริมภาพลักษณ์การช่วยเหลือสังคม

ความเป็นมาโครงการ

พนักงานถือเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งมีการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ขณะเดียวกัน ก็มีค่านิยม “วัฒนธรรมจิตอาสา” ที่ยึดถือปฏิบัติร่วมกันมาอย่างยาวนาน จึงก่อให้เกิดโครงการจิตอาสา “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เนื่องในวาระที่ไทยออยล์กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ของการก่อตั้ง และมีการดำเนินการโครงการฯ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 เพื่อสานต่อ “วัฒนธรรมจิตอาสา” ขององค์กร

กรอบการดำเนินงาน

1. ประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ก.ค. 2567
2. เปิดโอกาสให้พนักงานดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ธ.ค. 2567
3. บริษัทฯ สนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรมจิตอาสา 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน

ผลการดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นที่จะกระตุ้นและปลูกฝังให้พนักงานมีจิตอาสาตามค่านิยมองค์กรหัวข้อ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Social Responsibility) จึงได้ดำเนินโครงการ “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริหาร พนักงานและพนักงานผู้รับเหมาเข้าร่วมกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปี 2567 มีการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Team Spirit+” โดยให้ผู้บริหารระดับสูงเชิญชวนพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาภายในสายงานร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแรงกายแรงใจของตนเอง ซึ่งกลุ่มไทยออยล์จะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน เพื่อใช้เป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ในการดำเนินงาน โดยมีพนักงานเข้าร่วมงานทั้งหมด 30 ฝ่ายงาน ภายใต้งบประมาณรวม 1,000,000 บาท โดยนำงบประมาณไปใช้จัดกิจกรรม CSR ให้แก่โรงเรียน มูลนิธิการกุศล ชุมชน และอื่นๆ

โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา (Sustainable Energy for Healthcare and Education)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้การบริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์นำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม รวมถึงประสบการณ์ด้านการจัดการพลังงานมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา มาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาเข้าถึงการใช้พลังงานทางเลือก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า และนำผลประหยัดมาต่อยอดโครงการเพื่อสังคม ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กรอบการดําเนินงาน

1. ศึกษาศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่เป้าหมาย
2. จัดทำรายงานความเป็นไปได้ (Feasibility) และความคุ้มค่าทางการลงทุน ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ร่วมกับที่ปรึกษาโครงการฯ
3. ขออนุมัติการดำเนินโครงการและงบประมาณ
4. คัดเลือกผู้รับเหมาและดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาที่ผ่านการประเมิน
5. ส่งมอบโครงการฯ
6. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอใบอนุญาต (ในกรณีที่เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 3 แห่ง และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 94 กิโลวัตต์ ซึ่งสร้างผลประหยัดเป็นมูลค่ารวม 0.9 ล้านบาทต่อปี โดยนำผลประหยัดที่ได้จากค่ากระแสไฟฟ้าที่ลดลงไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ พัฒนาระบบงานบริการสุขภาพผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs รวมทั้งสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า 51 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

โครงการดำเนินการเกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล

วัตถุประสงค์

เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความเป็นมาของโครงการ

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SBM-2) บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดตั้งคณะทำงานบริหารข้อร้องเรียน เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเดือดร้อน
2. ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบ
3. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาช่วยเหลือตามกรอบแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรม และดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
4. จัดตั้งคณะทำงานการฟื้นฟู เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ภายหลังจากการปิดรับคำร้องของผู้ได้รับผลกระทบ ปรากฏว่า มีผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 905 ราย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 58 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานการฟื้นฟูขึ้น เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงานราชการ ผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรอิสระ และ NGO กลุ่มต่างๆ รวมถึงการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ อยู่ในระหว่างการวางแผนงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

โครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้เยาวชนได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพแข็งแรง เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในอนาคต
2. ส่งเสริมให้เยาวชนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก ได้ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชชูปถัมภ์ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังทั้ง 8 โรงเรียนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก มาตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ ภายหลังได้เข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานกับสมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและเทศบาลนครแหลมฉบัง

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดประชุมร่วมกับผู้อำนวยการและคุณครูผู้ฝึกสอนกีฬาพลศึกษาของโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่งในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง ประกอบด้วยโรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม โรงเรียนวัดมโนรม โรงเรียนวัดแหลมฉบัง โรงเรียนบ้านชากยายจีน โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) และโรงเรียนบุญจิตวิทยา
2. วางแผนโครงการ พร้อมขออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
3. ดำเนินการจัดค่ายฝึกทักษะพัฒนาศักยภาพนักกีฬากระโดดเชือก เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
4. สร้างนักกีฬาหน้าใหม่ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก ซึ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง

ผลการดําเนินงานในปี 2567

1. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทานประเภทมือใหม่ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ณ ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเหรียญทองจำนวน 4 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 10 เหรียญ และเหรียญทองแดงจำนวน 4 เหรียญ นอกจากนั้น โรงเรียนบุญจิตวิทยายังได้รับถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จำนวน 4 ถ้วย และมีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับที่ 2
2. โครงการพัฒนาทักษะนักกีฬาสู่แชมป์กระโดดเชือก ประจำปี 2567 เพื่อคัดเลือกและฝึกซ้อมนักกีฬากระโดดเชือกจากโรงเรียนรอบโรงกลั่น 8 แห่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
3. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 15 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ สนามยิมเนเซียม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสนับสนุนการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยกิจกรรมนี้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 60 คน
4. นักกีฬากระโดดเชือกแหลมฉบังได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก Jump Rope China Open 2024 ณ เมืองหูเป่ย (Huaibei) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนักกีฬาตัวแทนชาวแหลมฉบังได้คว้าเหรียญทองมาได้ 2 รายการ เหรียญเงิน 1 รายการ และเหรียญทองแดง 4 รายการ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเทศบาลนครแหลมฉบัง

การรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

  •  การดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังติดตามและแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 ไม่พบผู้ติดเชื้อ เน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะที่ 1 พบผู้ต้องสงสัยหรือผู้ติดเชื้อในกลุ่มไทยออยล์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย และระยะที่ 2 พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มไทยออยล์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการกอบกู้สถานการณ์และการฟื้นฟู ต้องเปิดศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะของพนักงานและผู้รับเหมา ผ่านศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัยที่มีความพร้อมทั้งภาคทฤษฎี (Theory) และภาคปฏิบัติ (Practice) และประเมินความรู้ความสามารถของพนักงานและผู้รับเหมาที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตามระบบใบอนุญาตในการทำงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตตามบทบาทหน้าที่ ผ่านกระบวนการ Competency Assurance System
  • การยกระดับวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน ด้วย Behavior Based Safety (BBS) โดยได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร BBS ให้กับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย (Train for the Trainer) เพื่อนำไปถ่ายทอดและเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาสำหรับใช้สังเกตพฤติกรรมในการทำงานและสั่งหยุดงานเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัย
  • การจัดให้การฝึกอบรมหลักสูตรการขออนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System and Clearance Certificate Signatory) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในระบบใบอนุญาตในการทำงาน
  • การจัดโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากการทำงาน (30-60-90 Days with No Harm No Leak) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นให้พนักงานและผู้รับเหมาเกิดความตระหนักด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมาย คือ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Treatment Case: MTC)
  • การจัดกิจกรรม Thaioil Group QSHE Day ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยฯ ของพนักงานและผู้รับเหมา โดยการมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นด้าน QSHE ประจำปี 2566 และจัดบูธนิทรรศการ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯ ให้กับพนักงานและผู้รับเหมา
  • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ (12 Life Saving Rules) โดยนำวิถีอันตราย (Line of Fire) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎความปลอดภัยพื้นฐาน ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซของ IOGP
  • การรณรงค์และเสริมสร้างการตระหนักถึงอันตราย ได้แก่ วิถีอันตราย และการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการเขียนรายงาน Potential Incident Report (PIR) โดยมุ่งเน้นถึงการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และสภาพการณ์ที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Unsafe Condition) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
  • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในการทำงานของผู้รับเหมา (Contractor Training Matrix) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน 
  • การจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานและผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ รวมถึงรู้และเข้าใจมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในกิจกรรมการทำงาน เช่น หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (Basic Safety in Refinery) หลักสูตรดับเพลิงขั้นต้น (Basic Firefighting) หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศ (Confined Space) และหลักสูตรการปฐมพยาบาล (First Aid) เป็นต้น
  • การอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยเฉพาะ สำหรับพนักงานและผู้รับเหมา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสอดคล้องตามข้อกำหนด เช่น หลักสูตรผู้อนุมัติใบรับรองความปลอดภัย (Authorized Engineer (AE)/ Authorized Gas Safety Inspector (AGSI) Course) หลักสูตรผู้อนุมัติใบอนุญาตทำงาน (Clearance Certificate Signatory) หลักสูตรผู้ตรวจวัดแก๊ส (Authorized Gas Tester) หลักสูตรความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น
  • กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรุกโดยการยกระดับกิจกรรม Management Walk and Talk เป็น GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินกิจกรรม QSHE Roll Out อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการเข้าถึง รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมจิตสำนึกด้านคุณภาพความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงานหรือภายในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ณ ขณะนั้น อีกทั้ง กลุ่มไทยออยล์ยังนำระบบการจัดการต่างๆ ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และมีการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นให้ผู้บริหารได้รับทราบและร่วมหาแนวทางการแก้ไขเป็นประจำ รวมถึงจะมีกระบวนการทบทวน (Management Review) เป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงและจัดทำแผนงานประจำปีต่อไป พร้อมทั้งมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต่อไป

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การทบทวนระบบใบอนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System) โดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนหรือประกายไฟ (Hot Work) รวมถึงรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • จากการประเมินระดับวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2565 ผลการประเมินที่ 4.16 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5.00 คะแนน ซึ่งนำมาด้วยแผนงานพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้เพื่อให้พนักงานและผู้รับเหมามีความตระหนักและให้องค์กรก้าวเข้าสู่องค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ
  • การตรวจสอบระบบใบอนุญาต (Permit to Work Inspection) โดยพนักงานเจ้าของพื้นที่ (Area Operation) และทีมตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Audit Team) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำการ์ดมอบอำนาจสิทธิในการสั่งหยุดงาน (Stop Work Authority) ให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาทุกคน เมื่อพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานมีสภาพการณ์หรือสภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อตนเองและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพย์สินของกลุ่มไทยออยล์ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นและเน้นย้ำถึงการป้องกันและแก้ไขก่อนเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์
  • การประเมินดัชนีชี้วัดสมรรถนะด้านสุขภาพ (Health Performance Indicators) ตามหลักเกณฑ์และแนวทางของ International Association of Oil and Gas Producers (IOGP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดยได้รับคะแนนการประเมินในปี 2566 ที่ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4.00 คะแนน พร้อมจัดทำแผนงานพัฒนาและยกระดับระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของ IOGP ต่อไป
  • การยกระดับการบริหารจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management) ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มีการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยประจำปีของบริษัทผู้รับเหมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party) ทั้งในส่วนของระบบบริหารจัดการและการปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับใช้ในการแบ่งระดับผู้รับเหมา (Contractor Banding) เป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กรณีที่บริษัทผู้รับเหมา มีผลการประเมินฯ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (สีเหลือง หรือ สีแดง) จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมานำเสนอแผนงานและทำการปรับปรุงแก้ไขประเด็นปัญหาให้สอดคล้องตามข้อกำหนดและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเอกสารการประเมินผลด้านเทคนิคของความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการประมูลผู้รับเหมา (Contract SSHE Bidding and Close Out Evaluation)
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติงานที่ปลอดภัย สำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ งานยกของหนักโดยปั้นจั่น งานนั่งร้าน งานที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในเขตพื้นที่โรงกลั่น เป็นต้น และทำการฝึกอบรมและสื่อสารให้กับพนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติหรือฉุกเฉินสำหรับผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้อง ด้วยระบบ SMS เพื่อให้ผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินทราบถึงเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาสนับสนุนการระงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติกรณีเกิดฝนฟ้าคะนองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้พนักงานทราบและดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเป็นการแจ้งเตือนเพื่อเตรียมความพร้อมของทีมระงับเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดไฟไหม้ที่บริเวณขอบถังน้ำมันชนิดหลังคาลอย (Rim Seal Fire)
  • การทบทวนแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า (Pre Incident Plan) ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานสากล รวมถึงการฝึกซ้อมตามแผนที่กำหนด เพื่อเป็นการซักซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า ระดับที่ 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับหน่วยผลิตใหม่ของโครงการ CFP
  • การทบทวนคู่มือการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤติ (Emergency and Crisis Management Manual) และการวางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชุน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต

​การประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

  • การทบทวนการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงและอันตรายที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกัน และมีการตรวจติดตามประสิทธิผลของมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบความปลอดภัย การวิเคราะห์ รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยพนักงานและผู้รับเหมา ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีการทบทวนและตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำทุกเดือน
  • การประเมินความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง และทบทวนมาตรการควบคุมและป้องกันด้านความปลอดภัย โดยกำหนดแผนและมาตรการความมั่นคงและความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ (Defense in Depth) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารเคมี โดยมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในระดับต่างๆ และต่อยอดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินไปสู่ระดับการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ร่วมกับหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ยังคงบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงร้ายแรงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
  • การทบทวนบัญชีอุบัติเหตุที่มีศักยภาพก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง (Major Accident Event) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และการทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินและภาวะวิกฤต รวมถึงแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) ตลอดจนปรับปรุงศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน (Emergency Control Center) ให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติการบริหารจัดการอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ให้ครอบคลุมอุบัติการณ์ทุกประเภท ได้แก่ การบาดเจ็บจากการทำงาน โรคหรือการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อื่นๆ รวมถึงอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต มีการประเมินระดับความรุนแรงและความเสี่ยง โดยใช้ตารางการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) เพื่อกำหนดทีมสอบสวนฯ และวิธีการสอบสวนฯ ที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงและความเสี่ยงของอุบัติการณ์นั้น และต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

การขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx)

  • การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx) เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก และปรับเป้าหมายความปลอดภัยระดับองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว คือ No Harm, No Leak, Goal Zero
  • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินและวิกฤตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแผนกลยุทธ์และเป้าหมายระดับองค์กรใหม่
  • การมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงนำเสนอกรณีศึกษาและประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
  • การเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้งในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ การหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต และงานโครงการก่อสร้าง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนับสนุนความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีด้านภาวะผู้นำความปลอดภัย

SMILE Activity

Working with the right to health

Working with the right to health: กลุ่มไทยออยล์บริหารจัดการและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และมีมาตรการการดูแลรักษาพนักงานอย่างต่อเนื่องจนหายป่วย และสามารกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย (Return to work) โดยกำหนดมาตรการและนโยบายที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของภาครัฐ พร้อมสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มไทยออยล์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งมีการกำหนดนโยบายการปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home Policy) เพื่อให้พนักงานมีสิทธิในการเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตน
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำนโยบายสนับสนุนพนักงานกลุ่มไทยออยล์ “People First for Employee Support Policy” เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและให้ความช่วยเหลือแก่พนักงาน ครอบครัวพนักงาน และสมาชิกชมรมพนักงานเกษียณกลุ่มไทยออยล์ ที่เผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านการเงิน กฎหมาย สุขภาพกาย สุขภาพใจ แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด ปัญหาการสมรส ความเจ็บป่วย ของสมาชิกในครอบครัว การดูแลบุตร ฯลฯ ทั้งในรูปแบบของสิทธิประโยชน์สวัสดิการ และมิใช่สวัสดิการ ตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน

Improving mental health care

Improving mental health care: โครงการ 5 สุข เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาวะของพนักงานวิถีใหม่ (New Normal Work Life) และเพื่อให้พนักงานได้เข้าใจสิทธิที่พนักงานควรได้รับทั้งการดูแลพนักงานรวมถึงพนักงานที่เกษียณอายุในทุกด้านผ่าน โครงการ 5 สุขของกลุ่มไทยออยล์ ได้แก่

Ensuring education for all

Ensuring education for all: การให้ความรู้และสร้างความตระหนักด้านสิทธิมนุษยชน สำหรับพนักงานผ่าน Human Rights E-learning ใน “Thaioil Academy Application” และสำหรับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการบรรยายเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ในงานสัมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ประจำปี 2566 (Supplier Seminar 2023) ณ หอประชุมไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการยอมรับแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Supplier Code of Conduct) เป็นต้น

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future"

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน” ผ่านการจัดงานในรูปแบบ Hybrid เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของกลุ่ม ปตท. และเน้นย้ำให้บุคลากรทุกระดับในกลุ่ม ปตท. นำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยมีคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนบริษัทคู่ค้า และแขกรับเชิญจากหน่วยงานกำกับฯ เช่น ตัวแทนจากมูลนิธิต่อต้านการทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าร่วมงานกว่า 400 คน รวมทั้งมีการเชิญคู่ค้า ลูกค้า และพนักงานเข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ของงานอีกด้วย

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC (GRC Culture Survey) ประจำปี 2566 เพื่อประเมินวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบและข้อบังคับ (GRC) ในภาพรวม โดยผลการสำรวจที่ได้รับจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกำกับดูแลกิจการอย่างเหมาะสมต่อไป

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น คอลัมน์ GRC Corner ในวารสารอัคนี (วารสารภายในองค์กร) GRC Newsletter รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy)

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy) ให้พนักงานทุกคนรับทราบผ่านช่องทางสื่อสารภายในองค์กร ในหลากหลายรูปแบบ เช่น คลิปวีดิโอ E-newsletter เป็นต้นตลอดจนการจัดส่ง “หนังสือขอความร่วมมืองดมอบของขวัญหรือของกำนัลแก่ผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยออยล์” แก่คู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันเหตุปัจจัยที่อาจนำไปสู่การกระทำที่ขัดต่อนโยบายการต่อต้านทุจริต

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning)

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ได้แก่ CG Orientation E-learning สำหรับพนักงานใหม่ ประกอบด้วยหัวข้อหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต และ Anti-Fraud E-learning สำหรับพนักงานปัจจุบัน เพื่อให้ความรู้ที่มาของการเกิดทุจริต และแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตภายในองค์กร

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้ และส่งเสริมพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่โปร่งใส เป็นธรรม ตลอดปี 2566 เช่น กิจกรรม Compliance & CG Talk หัวข้อ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดย นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กิจกรรม Law Focus หัวข้อ การป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดยผู้บริหารจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กิจกรรม GRC in Action บริเวณหน้างาน CEO Townhall ประจำไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 กิจกรรม Good to Great CG Contest เชิญชวนแบ่งปันวิธีการทำงานที่ส่งเสริมแนวทาง CG ในแบบของคุณ เป็นต้น

SAP ECC

ปรับปรุงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่บริษัทฯ ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน หรือ ที่เรียกว่า SAP ECC ให้ยังคงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบ ERP ไปสู่ SAP S/4 HANA ในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027)

Prominence Enhancement

พัฒนาระบบที่ใช้เก็บข้อมูลการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มไทยออยล์ โดยมีข้อมูลในหลายแง่มุม เช่น ประเภทคู่ค้า ราคา ปริมาณการซื้อขาย ช่วงเวลาการซื้อขาย รูปแบบการชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างราคา และช่วยในการตัดสินใจสำหรับการกำหนดรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสมกับคู่ค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรที่มากขึ้น ตามแต่ละสถานการณ์ของตลาดที่มีความผันผวน

Predictive Maintenance Analytics

พัฒนาระบบประมวลผลข้อมูลการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรที่สำคัญในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ เพื่อใช้ทำนายโอกาสที่อุปกรณ์เครื่องจักรเหล่านั้นจะเกิดความเสียหายและหาทางป้องกันล่วงหน้า เพื่อไม่ไห้เกิดเหตุการณ์ Unplan Shutdown และ Unplan Maintenance ต่างๆ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

www.jskem.com.sg 

TOPNEXT ได้ซื้อหุ้นจำนวน 60% ในJSKEM เพื่อขยายธุรกิจด้านจัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศสิงคโปร์ และอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 2021

PT. Tirta Surya Raya

PT. Tirta Surya Raya

TOPNEXT (TX)  ได้ซื้อหุ้นจำนวน 67% ใน PT. Tirta Surya Raya ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar (TSMM) ปี พ.ศ.2560 บริษัทฯได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทน ในประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ TOP Solvent Company Limited (Myanmar Representative Office) เป็นตัวแทนบริษัทฯ ในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อจำหน่ายสินค้า Petroleum และเคมีภัณฑ์ พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 โดยมี บจ. ท็อป โซลเว้นท์ ถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์ และเป็นการลงทุนต่างประเทศครั้งแรกของไทยออยล์ ให้บริการด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารทำละลาย และเคมีภัณฑ์ หลากหลายรูปแบบ เช่น อุตสาหกรรมสี สารเคลือบผิว ทินเนอร์ กาว ตัวประสาน หมึกพิมพ์ อิเลคโทรนิค นํ้ายาทำความสะอาดต่างๆ การสกัดนํ้ามันพืช และอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม Go Dau (เวียดนามใต้) จังหวัด Dong Nai (เวียดนามใต้) และ จังหวัด Hai Phong (เวียดนามเหนือ)

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

www.sakchaisit.com 

มีบริษัท ท็อป เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นผู้ผลิตสารทำละลายไฮโดรคาร์บอนคุณภาพสูง สำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสี, ยางรถยนต์, กาว, น้ำมันพืช, โฟม, พลาสติก, เหมืองทองแดง เป็นต้น