Skip links

การบริหารจัดการด้านการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความท้าทาย ความเสี่ยง

และผลกระทบ 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญระดับสากล ตามที่ปรากฏอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของสหประชาชาติ เป้าหมายที่ 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UN Sustainable Development Goals: SDG 13 Climate Action) และการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา

สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of the Parties: COP) เป็นประจำทุกปี ซึ่งประเทศไทยได้เข้าประกาศเจตนารมณ์ร่วมกับนานาชาติในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 เช่นกัน ซึ่งจะเพิ่มแรงผลักดันในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกทั้งภาครัฐและเอกชนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ผ่านการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติที่จะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ พร้อมทั้งการส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานสะอาดของประเทศ รูปแบบการบริโภคที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไป ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียต่อธุรกิจพลังาน ทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายที่กลุ่มไทยออยล์ได้นำมาประเมินความเสี่ยงและโอกาส เพื่อกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ความมุ่งมั่น และเป้าหมาย
คณะกรรมการบริษัทฯ และผู้บริหารของไทยออยล์และบริษัทในกลุ่มฯ เล็งเห็นความสำคัญต่อการตอบสนองต่อทิศทางธุรกิจในอนาคตที่ต้องมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดและสังคมคาร์บอนต่ำ และกำหนดนโยบายสาธารณะที่สอดคล้องต่อความตกลงปารีส (Paris Agreement) และการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดของประเทศไทย (Thailand’s Nationally Determined Contribution: NDC)
โดยมุ่งเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจใหม่ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกำหนดกลยุทธ์ที่เป็นรูปธรรมและตั้งเป้าหมายระยะยาวให้สอดคล้องกับประเทศ

เป้าหมาย

การลดก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1 และ 2

เป้าหมายปี 2567

-

ร้อยละจากปีฐาน

เป้าหมายระยะยาวภายในปี 2578

15

ร้อยละจากปีฐาน 2569

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1 และ 2

เป้าหมายปี 2567

ไม่เกิน 3,760,000

ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

เป้าหมายระยะยาวภายในปี 2593

ความเป็นกลางทางคาร์บอน
(Carbon Neutrality)

เป้าหมายระยะยาวภายในปี 2603

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
(Net Zero GHG Emission)

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1

เป้าหมายปี 2567

ไม่เกิน 3,670,000

ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 2

เป้าหมายปี 2567

ไม่เกิน 90,000

ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 3

เป้าหมายปี 2567

ไม่เกิน 50,000,000

ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของกลุ่มไทยออยล์

เป้าหมายครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจหลัก โดยคิดเป็นร้อยละ 100 ของบริษัทที่อยู่ภายใต้การควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control) หรือมากกว่าร้อยละ 95 ของรายได้จากการขายทั้งหมด

วันประกาศ: 25 กุมภาพันธ์ 2565

แนวทางการบริหารจัดการ

และผลการดำเนินงาน

การกำกับดูแล

คณะกรรมการบริษัทฯ ทบทวนกลยุทธ์องค์กรตามสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประจำทุกปี และประยุกต์ใช้กระบวนการบริหารความเสี่ยงเป็นเครื่องมือในการประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต โดยมีการติดตามความเสี่ยงทุกไตรมาส

คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีหน้าที่ในการติดตามตัวชี้วัดความสำเร็จด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ ได้แก่ ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Intensity Index) และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emission) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดองค์กร (Corporate Key Performance Indicators) เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหารและพนักงาน

ในการทบทวนกลยุทธ์ประจำปี 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้เห็นชอบกับผลการทบทวน ‘แนวทางการดำเนินงานเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions Pathway)’ พร้อมทั้งพิจารณางบประมาณและแนวทางการลงทุนในเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น การศึกษาการติดตั้งเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) ในหน่วยผลิต การศึกษาธุรกิจไฮโดรเจนสีฟ้าและเขียว (Blue and Green Hydrogen) การศึกษาการผลิตน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เป็นต้น

คณะกรรมการบริษัทฯ มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ระดับคณะกรรมการบริษัทฯ) มีหน้าที่กำกับดูแลและติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมทั้งการบริหารจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกครึ่งปี และมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ระดับฝ่ายบริหาร) ซึ่งมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นประธานในที่ประชุม มีหน้าที่ในการผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินงานและติดตามความคืบหน้าทุกไตรมาส และฝ่ายจัดการของกลุ่มไทยออยล์มีหน้าที่ในการบริหารจัดการตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ โดยจัดตั้ง “โครงสร้างการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” โดยมีผู้จัดการฝ่ายด้านความยั่งยืนเป็นผู้กำกับดูแลในภาพรวม และบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับสายงานด้านกลยุทธ์องค์กร ด้านกระบวนการผลิต ด้านการลงทุนในธุรกิจใหม่ ด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการเงิน และด้านงานกิจกรรมเพื่อสังคม โดยมีหน้าที่วิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดำเนินการตามกลยุทธ์ฯ พร้อมจัดทำแผนงานและแนวทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของกลุ่มไทยออยล์ และรายงานผลการดำเนินงาน การบริหารจัดการความเสี่ยงที่น่าจะเกิดและโอกาส ต่อคณะกรรมการต่างๆ เป็นประจำ

การกํากับดูแลสภาพภูมิอากาศของกลุ่มไทยออยล์สามารถสรุปได้ดังนี้

ระดับ
บทบาทและความรับผิดชอบ
ความถี่ในการประชุม
คณะกรรมการบริษัทฯ
• กำกับดูแลกลยุทธ์องค์กรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนงานการดําเนินงานการและประเมินผลการดำเนินงาน
ตามความจำเป็น
คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ระดับคณะกรรมการบริษัทฯ)
• กําหนดและทบทวนกลยุทธ์ แผนการดําเนินงาน และเป้าหมายด้านความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสภาพภูมิอากาศ
• กำกับดูแลการกำหนดตั้งเเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศ
• กํากับดูแลและติดตามความคืบหน้าในการพัฒนาและการดําเนินงานของกลยุทธ์องค์กรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทุกครึ่งปี
คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ระดับฝ่ายบริหาร)
• ขับเคลื่อนการดำเนินงานและติดตามความคืบหน้า ของกลยุทธ์องค์กรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ ควบคู่กับ การบริหารจัดการความเสี่ยงและมาตการการดําเนินการบรรเทาผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศ และกำหนด แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ
• ทบทวนและอนุมัติประเด็นสําคัญด้านความยั่งยืนประจําปี รวมถึงการดําเนินการดําเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศพร้อมกับกลยุทธ์องค์กรด้านความยั่งยืนขององค์กร
• ทบทวนและสนับสนุนแนวทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของกลุ่มไทยออยล์ (Net Zero GHG Emissions Pathway) รวมถึงเป้าหมายระหว่างกาลเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15% ภายในปี 2578 จากปีฐาน 2569 สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของกลุ่มไทยออยล์ภายในปี 2593 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
• ผลักดันและสนับสนุนหน่วยงานภายในต่างๆ ให้มีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในการบูรณาการการดําเนินงานไปสู่องค์กรที่ยั่งยืนในทุกมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (Environment, Social, and Governance: ESG) ESG ซึ่งรวมถึงการอนุมัติแผนพัฒนาที่ยั่งยืนที่สําคัญเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของกลุ่มไทยออยล์
ทุกไตรมาส
โครงสร้างการขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โครงสร้างการกํากับดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions Governance Structure)
• ประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการปรับเนื้องานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กร และจัดทําแผนการดําเนินงานแผนปฏิบัติการและแนวทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของกลุ่มไทยออยล์ และรายงานผลการดําเนินงาน ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงและโอกาสต่อผู้บริหาร ฝ่ายบริหาร และคณะกรรมการบริษัทฯ เป็นประจำอย่างสม่ําเสมอ
ตามความจำเป็น

กลยุทธ์และแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลุ่มไทยออยล์ได้กำหนดกลยุทธ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions Strategy) หรือที่เรียกว่า กลยุทธ์ 3Cs ดังนี้

แนวทางการดำเนินงานและความคืบหน้าปี 2567 ของกลยุทธ์ 3Cs

การบริหารจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กลุ่มไทยออยล์ได้ตรวจสอบความยืดหยุ่นของกลยุทธ์ข้างต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง (Scenario Analysis) และประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อธุรกิจในสถานการณ์ต่างๆ ด้วยการประเมินความเสี่ยงและโอกาสในช่วงปี 2573 – 2583 – 2593 โดยอ้างอิงแนวทางจากมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ หรือ Task Force on Climate Related Financial Disclosures (TCFD) โดยวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง เทียบกับสถานการณ์พื้นฐาน (Baseline Scenario) ใน 2 สถานการณ์ ดังนี้

การวิเคราะห์สถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่าน (The Transition Scenario)

กลุ่มไทยออยล์ประเมินความเสี่ยงและโอกาสใน 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยจากกฎหมายและกฎระเบียบของภาครัฐ ปัจจัยจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ปัจจัยจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของตลาดและผู้บริโภค และปัจจัยจากชื่อเสียงและผู้มีส่วนได้เสีย โดยวิเคราะห์สถานการณ์จำลองในปี 2573 – 2583 – 2593 ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำ กระบวนการผลิต และปลายน้ำ ผ่าน 2 สถานการณ์ ได้แก่

สถานการณ์แนวทางการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศภายใต้นโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก (Stated Policies Scenario: STEPS)

โดยสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางนโยบายปัจจุบันและเป้าหมายที่รัฐบาลได้ประกาศตามแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ประเทศ ที่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ภายใต้ข้อตกลงปารีส

สถานการณ์แนวทางการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Scenario: SDS)

โดยสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้นให้ “ไม่เกิน 2°C” สำเร็จ ผ่านการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป็นไปตามคำมั่นสัญญาในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA)

ความเสี่ยงและโอกาสใน 4 ปัจจัย

ความเสี่ยงและโอกาส

จากนโยบายและกฎระเบียบจากภาครัฐ

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและการลงทุนในอนาคต คือ การกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่ได้ให้คำมั่นสัญญาในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจจะเป็นความเสี่ยงต่อต้นทุนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์เมื่อมีการออกกฎหมายและมาตรการต่างๆ

เพื่อผลักดันให้การบริหารจัดการสำเร็จตามเป้าหมาย เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ กลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่จะบังคับใช้ในอนาคต เช่น ภาษีคาร์บอน หรือระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme) เป็นต้น

อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากราคาคาร์บอนที่ต้นน้ำ (Upstream) กรณีประเทศต้นทางของผู้ค้าน้ำมันดิบมีการคิดราคาคาร์บอนและกระทบต่อราคาต้นทุนวัตถุดิบที่จะสูงขึ้นด้วย และความเสี่ยงจากราคาคาร์บอนที่ปลายน้ำ (Downstream) จากมาตรการภาษีระหว่างพรมแดนของสหภาพยุโรป (Carbon Boarder Adjustment Mechanism: CBAM) ที่อาจมีผลต่อราคาของสินค้าปิโตรเคมีบางชนิดหากกลุ่มไทยออยล์มีการส่งออกไปหาลูกค้าในตลาดยุโรปในอนาคต

จากสภาวะดังกล่าวธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันอาจจะปรับตัวตามไม่ทันและมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่สูงขึ้นและแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในระยะยาว อย่างไรก็ตาม มาตรการของภาครัฐอาจเป็นโอกาสให้แก่กลุ่มไทยออยล์ในการวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ หากภาครัฐมีการส่งเสริมหรือให้แรงจูงใจในการลงทุนในการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด เช่น ธุรกิจไฮโดรเจน การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืน เป็นต้น

มาตรการรับมือ

ผลการวิเคราะห์

ผลกระทบต่อการเงิน

ความเสี่ยงที่สำคัญ

1.ผลกระทบจากราคาคาร์บอน จากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากกระบวนการผลิตของบริษัทฯ โดยประเมินสถานการณ์ในกรณีที่ประเทศไทยใช้กลไกซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และอ้างอิงปริมาณควบคุม (Capacity) ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกลุ่มไทยออยล์ในปี 2566 และอ้างอิงราคาในปี 2573 และ 2593 ของภูมิภาคเอเชียจาก IEA World Energy Outlook 2021

2.ผลกระทบจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมัน (สินค้าของบริษัทฯ) ที่ลดลง จากการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกของลูกค้า (ปลายน้ำ) โดยอ้างอิงปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันของอาเซียนจาก IEA World Energy Outlook 2021

3.ผลกระทบจากอัตราราคาคาร์บอน จากการเพิ่มราคาต้นทุนจากผู้ค้าน้ำมันดิบ (ต้นน้ำ) กรณีผู้ค้าน้ำมันดิบได้รับผลกระทบจากภาษีคาร์บอนและส่งต่อต้นทุนมาที่บริษัทฯ ร้อยละ 100

รายละเอียดผลกระทบทางการเงินจากการวิเคราะห์สถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่าน (The Transition Scenario)

การวิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงทางกายภาพ (The Physical Scenario)

กลุ่มไทยออยล์ประเมินความเสี่ยงทางกายภาพ ทั้งกรณีผลกระทบเฉียบพลัน (Acute Impact) และแบบค่อยเป็นค่อยไป (Chronic Impact) จากการเพิ่มอุณหภูมิของโลก โดยวิเคราะห์สถานการณ์จำลองในปี 2573 – 2583 – 2593 ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำ กระบวนการผลิตซึ่งครอบคลุมโครงการใหม่ (New Operation) ได้แก่ โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) และปลายน้ำ ผ่านแบบจำลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต (Representative Concentration Pathways: RCPs) ซึ่งได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ใน 2 สถานการณ์ ได้แก่

RCP 2.6 สถานการณ์จำลองที่ใช้มาตรการลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวด

RCP 8.5 สถานการณ์จำลองที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความเสี่ยงและโอกาสใน 2 ปัจจัย

ความเสี่ยง

จากการขาดแคลนน้ำ

ความเสี่ยงทางกายภาพที่มีนัยสำคัญสูงของกลุ่มไทยออยล์ คือกรณีการขาดแคลนน้ำเพื่อการผลิต อาจส่งผลต่อการสรรหาน้ำเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต และการลงทุนโครงการขยาย เช่น Clean Fuel Project (CFP) และโครงการอื่นๆ ในอนาคต เป็นต้น
ซึ่งจัดเป็น Chronic Impact อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำ ตลอดจนความต้องการใช้น้ำจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย ที่กำลังมีการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ซึ่งส่งผลให้ความต้องการการใช้น้ำบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต กลุ่มไทยออยล์ได้เล็งเห็นความสำคัญในการเตรียมความพร้อมรับมือเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ กระบวนการผลิต สิ่งแวดล้อม และชุมชน
กลุ่มไทยออยล์จึงได้ติดตาม คาดการณ์ และประเมินความเสี่ยงของสถานการณ์น้ำ พร้อมวิเคราะห์สถานการณ์จำลอง (Scenario Analysis) และความอ่อนไหวต่อธุรกิจ (Sensitivity Analysis) กรณีกระบวนการผลิตมีความเสี่ยงที่จะขาดแคลนน้ำในสัดส่วนต่างๆ โดยหน่วยงานความเสี่ยงร่วมกับคณะทำงานการบริหารจัดการน้ำของกลุ่มไทยออยล์เป็นประจำ ทั้งยังนำ WRI Aqueduct Water Tools ที่พัฒนาโดย World Resource Institute ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงาน และเข้าร่วมกับหน่วยงานภายนอกองค์กรและหน่วยงานราชการ เช่น คณะทำงานการบริหารจัดการน้ำของกลุ่ม ปตท. (PTT Group Water Committee) ของพื้นที่ภาคตะวันออก คณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก (Keyman Water War Room) และสถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน ภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อสร้างเครือข่ายในการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการในทุกภาคส่วน และกำหนดมาตรการเชิงรุกในการลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและชุมชนร่วมกันอย่างทันท่วงที

มาตรการรับมือ

เพื่อรักษาดุลยภาพระหว่างการดำเนินธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสีย กลุ่มไทยออยล์เห็นพ้องกับหน่วยงานภาครัฐโดยให้ความสำคัญกับชุมชนเป็นอันดับแรกหากเกิดสภาวะขาดแคลนน้ำ เพื่อให้ชุมชนได้รับน้ำที่เพียงพอต่อการทำเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค ซึ่งจะได้รับการจัดสรรน้ำจากหน่วยงานภาครัฐก่อนที่หน่วยงานภาครัฐจะส่งน้ำมาให้กลุ่มไทยออยล์ และเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ดังกล่าว กลุ่มไทยออยล์ได้กำหนดกลยุทธ์ระยะยาว “Long – term Water Supply Strategy ปี 2566 – 2576” เพื่อเพิ่มความมั่นคงและลดความเสี่ยงกรณีขาดแคลนน้ำที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ตลอดจนรองรับความต้องการการใช้น้ำสำหรับโครงการขยายในอนาคต โดยมีการบริหารจัดการ ดังนี้
ในปัจจุบันกลุ่มไทยออยล์ใช้น้ำอยู่ 2 ประเภทคือ น้ำทะเล โดยมีหน่วยกลั่นน้ำทะเล (Desalination Unit) ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำทะเลเป็นน้ำจืด และ น้ำดิบ ที่รับมาจากผู้จัดสรรน้ำ 2 แหล่งคือ อ่างเก็บน้ำบางพระโดยกรมชลประทาน และอ่างเก็บน้ำหนองค้อโดยบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่มีการจัดสรรน้ำอย่างบูรณาการร่วมกับกลุ่มไทยออยล์โดยสัมพันธ์กับนโยบายของรัฐหรือบริบทของพื้นที่ที่ใช้น้ำร่วมกัน เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ เช่น ระบบหอหล่อเย็น ระบบการผลิตน้ำปราศจากแร่ธาตุเพื่อผลิตไอน้ำ และในกระบวนการผลิตอื่นๆ เป็นต้น โดยผ่านการปรับปรุงคุณภาพน้ำและควบคุมคุณภาพน้ำให้ดีกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดก่อนระบายออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และหลักการ 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) ในการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้

โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ภายใต้กลยุทธ์ระยะยาว “Long-term Water Supply Strategy ปี 2566 – 2576” เช่น

1. โครงการศึกษาการติดตั้งหน่วยผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลเพิ่มเติม (Desalination Unit) จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 6 หน่วย เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำจากแหล่งน้ำทะเลที่ถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดทดแทนการใช้น้ำดิบที่มีอยู่อย่างจำกัด
2. โครงการศึกษาการนำน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากโรงปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบกลับมาใช้ใหม่ (Recycle Waste Water from Water Treatment Plant)
3. โครงการศึกษาการนำน้ำเสียจากระบบบำบัดน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ โดยใช้ระบบรีเวิร์สออสโมซิส (Reverse Osmosis System)
4. โครงการศึกษาการนำน้ำทิ้งชุมชนเมืองพัทยากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ (Pattaya Wastewater Recycle)

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น

โครงการแหล่งน้ำดิบจากบ่อน้ำเอกชน

ที่มีศักยภาพและไม่มีผลกระทบกับการใช้น้ำของชุมชนและเกษตรกร เพื่อการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มความหลากหลายในการบริหารจัดการแหล่งน้ำ (Water Supply Management) เพื่อลดความสี่ยงกรณีขาดแคลนน้ำดิบ บริษัทฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายน้ำดิบกับเอกชนเรียบร้อย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบส่งน้ำดิบ และระบบควบคุมคุณภาพด้วยระบบออสโมซิส (RO) คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถส่งน้ำให้กลุ่มไทยออยล์ได้ภายในปี 2569

ผลการวิเคราะห์

ผลกระทบต่อการเงิน

ความเสี่ยงที่สำคัญ

1. ผลกระทบจากภาวะขาดแคลนน้ำ กรณีแหล่งน้ำจากภาครัฐลดการจ่ายน้ำให้บริษัทฯ ลงร้อยละ 10 บริษัทฯ จะดำเนินการลงทุนตามมาตรการ Long-term Water Supply Strategy โดยมีการพิจารณาปรับเพิ่มปริมาณน้ำดิบจากแหล่งน้ำเอกชน และการพิจารณาปรับเพิ่มน้ำจืดจากน้ำทะเล โดหน่วยกลั่นน้ำทะเล (Thermal Desalination Unit) รวมทั้งการวางแผนสำรองน้ำดิบในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อจัดหาน้ำดิบให้เพียงพอต่อกระบวนการผลิต ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น

2. ผลกระทบจากพายุไซโคลนนอกชายฝั่ง รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ลดลง กรณีไม่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ผ่านการขนส่งทางเรือได้ในช่วงเวลาที่มีพายุไซโคลนนอกชายฝั่ง และการหยุดกระบวนการผลิตก่อนและหลังการเกิดพายุไซโคลนนอกชายฝั่งเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและความเสียหายของเครื่องจักรอุปกรณ์ พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่ปฏิบัติงานหลังเหตุการณ์เพื่อความปลอดภัยก่อนเริ่มดำเนินการตามปกติ

 

รายละเอียดผลกระทบทางการเงินจากการวิเคราะห์สถานการณ์ความเสี่ยงทางกายภาพ (The Physical Scenario)

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ กลุ่มไทยออยล์มุ่งลดก๊าซเรือนกระจกทางตรงในกระบวนการผลิตเป็นหลัก โดยมีผลการดำเนินงานในปี 2567 ดังนี้

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (ขอบเขตที่ 1)

(ขอบเขตที่ 1)

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตผ่านดัชนีชี้วัดการใช้พลังงาน (EII) ขององค์กร ที่ได้ดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานทั้งหมด 39 โครงการ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 28,985 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการลดก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดสำคัญเพิ่มเติม ได้แก่ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ (Carbon Footprint of Product for TOP Refinery) แบบ Business-to-Business (B2B) ซึ่งเป็นการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่ขั้นตอนการได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิตจนถึงหน้าโรงงาน โดยใช้ฐานข้อมูลปี 2565 และในปี 2566 โครงการดังกล่าวได้รับการรับรองการขึ้นทะเบียนจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) แล้ว หลังจากนั้น กลุ่มไทยออยล์ได้ขยายขอบเขตการศึกษาสำหรับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ไปยังแต่ละบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) (TLB) โดยใช้ฐานข้อมูลปี 2566 และในปี 2567 โครงการดังกล่าวได้รับการรับรองการขึ้นทะเบียนจาก อบก. (TGO) แล้ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์ได้วางแผนขยายขอบเขตการศึกษาสำหรับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ไปยังผลิตภัณฑ์ ของ บริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด และบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด โดยใช้ฐานข้อมูลปี 2567 ต่อไป
นอกจากนั้น กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินโครงการด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของกลุ่มไทยออยล์และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เช่น

​ทั้งนี้ การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกดังกล่าวข้างต้น สามารถควบคุมก๊าซมีเทนให้อยู่ภายใต้เป้าหมายที่กำหนด เนื่องจากก๊าซมีเทนของกลุ่มไทยออยล์ส่วนใหญ่มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันกับแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจก

กลุ่มไทยออยล์ได้กำหนดเป้าหมายระยะยาว ระยะกลาง และเป้าหมายรายปี ซึ่งเป้าหมายรายปีมีการประเมินจากปริมาณพลังงานที่ใช้ของแผนธุรกิจในแต่ละปี โดยการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตในปี 2567 ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์สามารถบรรลุเป้าหมายก๊าซเรือนกระจก ขอบเขตที่ 1 ที่กำหนดไว้ ดังนี้

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2)

กลุ่มไทยออยล์มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) ที่เกิดจากการซื้อพลังงานไฟฟ้าในโครงการ โดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) อยู่ที่ 30,753 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) หรือคิดเป็น ร้อยละ 0.88 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2 ซึ่งบรรลุตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 2 ที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 90,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e)


ตั้งแต่ปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้ขยายขอบเขตการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 2) เนื่องจากการดำเนินงานที่ศรีราชามีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้พลังงานในการดำเนินงานจากการใช้สาธารณูปโภค และการใช้พลังงานในสำนักงานศรีราชา โดยได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียน อีกทั้งมีการใช้ไฟฟ้าที่ซื้อจากระบบโซลาร์รูฟท็อปของอาคารสัฏฐิวรรษวิรุฬห์ (Thai Oil Sriracha Building: TSB) และอาคารสำนักงานวิศวกรรม (Engineering Building Center: EBC)

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม (ขอบเขตที่ 3)

การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (ขอบเขตที่ 3) ในห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มไทยออยล์ มีดังนี้

ศึกษาและสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของเสียจากการฝังกลบผ่านการจัดการโดยวิธีการ 3Rs เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการฝังกลบกากของเสีย โดยในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์สามารถบรรลุเป้าหมายการฝังกลบของเสียเป็นศูนย์ตามที่ตั้งไว้อย่างต่อเนื่อง

ประเมินความเสี่ยงและจัดทำแผนงาน เพื่อลดการสูญเสียน้ำมันดิบระหว่างการขนส่งจากผู้ผลิตสู่โรงกลั่น (Ocean Loss) รวมถึงออกแบบระบบขนถ่ายผลิตภัณฑ์ผ่านท่อขนส่งผลิตภัณฑ์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งการผลิตและการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางรถและเรือตามลำดับ โดยคณะทำงานด้านการจัดการพลังงานและลดการสูญเสียน้ำมัน (Energy and Loss Committee)

สนับสนุนการจัดซื้อผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากคู่ค้า และเพิ่มมูลค่าของเสียโดยการ Upcycling เช่น Upcycling Plastic Waste เป็นเสื้อ QSHE สำหรับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมา, Upcycling เศษอาหารเป็นปุ๋ย และอื่นๆ ภายใต้โครงการ Thaioil CE WE GO

จำหน่ายผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกขั้นปลายจากผู้ใช้ ได้แก่ แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล ไบโอเอทานอล เป็นต้น

นอกจากนั้น ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ทั้งหมด 5 ประเภท 14 ผลิตภัณฑ์ ดังนี้
ประเภทผลิตภัณฑ์สีเขียว
รายชื่อผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไทยออยล์
บริษัท
ยอดขาย (ล้านบาท)
ปริมาณ
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้พืชหรือผลผลิตจากการเกษตรทดแทนวัตถุดิบจากปิโตรเลียม (Bio-based Product)
เอทานอลจากมันสำปะหลัง
Thaioil Ethanol Company Limited (TET)
1,715.70
56.40 ล้านลิตร
Ethanol 99.5% (จากมันสำปะหลังและข้าวโพด)
TOPNEXT International Company Limited (TX)
1.79
41.69 ตัน
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถแตกสลายได้โดยชีวภาพ (Biodegradable Product)
Linear Alkyl Benzene (LAB)
LABIX Company Limited (LABIX)
7,633.46
150,437.71 ตัน
Heavy Alkyl Benzene (HAB)
76.59
2,197.27 ตัน
ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้โดยชีวภาพ (Compostable Product)
ผลิตภัณฑ์สารชะล้างทำความสะอาด (KEEEN)
TOPNEXT International Company Limited (TX)
0.61
3.50 ตัน
ผลิตภัณฑ์ที่ลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (Emission Reduction)
สารทำละลายที่ปราศจากสารเบนซีน ได้แก่
TOPNEXT International Company Limited (TX)
– TOPSol BF: Benzene Free
51.60
1,038.58 ตัน
– Xylene (Isomer): Low Ethylbenzene
1,108.31
32,737.58 ตัน
– Methyl Cyclohexane (MCH)
TOP Solvent (Vietnam) Limited liability Company (TSV)
2.88
53.32 ตัน
สารทำละลายที่มีสารประกอบกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรเมติก ไฮโดรคาร์บอน ในปริมาณต่ำ (TOPSol A 150 ND: Low PAHs)
TOPNEXT International Company Limited (TX)
44.69
678.14 ตัน
น้ำมันยางสะอาด (TDAE, TRAE, AROS) ที่มีปริมาณ PCA ต่ำกว่าค่ามาตรฐานสากล จึงไม่ก่อให้เกิดมะเร็งและการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในมนุษย์
Thai Lube Base Public Company Limited (TLB)
2,922.23
89,675.00 ตัน
น้ำมันเตากำมะถันต่ำที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.5 (LSFO หรือ FO IMO)
Thai Oil Public Company Limited (TOP)
2,885.66
152.83 ล้านลิตร
ผลิตภัณฑ์ที่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มเดียวกันในตลาด (Avoided GHG Emission Product)
Cyclopentane CP80, CP97 ซึ่งเป็นสารทดแทน CFC และ HCFC
TOPNEXT International Company Limited (TX)
14.92
194.90 ตัน
แก๊สโซฮอล (Gasohol)
Thai Oil Public Company Limited (TOP)
45,209.92
1,434.66 ล้านลิตร
ไบโอดีเซล (Biodiesel)
122,554.67
4,535.29 ล้านลิตร

ประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS)

ในปี 2565 กลุ่มไทยออยล์ได้ทำการศึกษาเบื้องต้นสำหรับหน่วยผลิตที่มีศักยภาพในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS พร้อมทั้งประมาณการงบประมาณการลงทุนสำหรับการติดตั้งระบบดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิต รวมถึงการขนส่งและการกักเก็บเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกในช่วงเวลาต่างๆ นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี CCS โดยเทียบเคียงมุมมองทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล การศึกษาครอบคลุมการวิเคราะห์ความพร้อมของเทคโนโลยี รวมถึงการประเมินผลกระทบทางการเงิน การสนับสนุนด้านกฎระเบียบจากองค์กรต่างๆ ในระดับภูมิภาคและระดับสากล ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นและมีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี CCUS  รวมถึงการประเมินความต้องการของเทคโนโลยี CCUS ในภาคส่วนต่างๆทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ในปี 2566 ผลการศึกษา ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าของ CCS ข้างต้นได้ถูกรวบรวมเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับโครงการ Eastern Thailand CCS Hub เพื่อสื่อสารให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทราบถึงความจำเป็นของกรอบนโยบายและกลไกกฎระเบียบในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการ CCS ในประเทศไทย 

ในปี 2567 บริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. ได้มีการหารือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่างๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ และกรมเจ้าท่า เพื่อให้การสนับสนุนการดำเนินการให้สอดคล้องตามเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย รวมถึงผลักดันนโยบาย กฎหมาย และแนวทางสนับสนุน ตลอดจนการหาโอกาสในการจัดหาแหล่งเงินลงทุนและศึกษาความต้องการของตลาดอีกด้วย

ผลการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนในเทคโนโลยี CCS โดยวิเคราะห์จากโครงการ Longship และ Northern Lights (Bellona,2020) ในประเทศนอร์เวย์  พบว่า ต้นทุนการลงทุน (CAPEX) และต้นทุนการดำเนินงาน (OPEX) ของเทคโนโลยี CCS ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Levelized Cost) มีค่าใช้จ่ายลงทุนอยู่ในระดับที่สูง เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ CCS บริษัทฯ วางแผนการดำเนินการสำรวจและศึกษาต่อเนื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนที่มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนในอนาคตได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาโมเดลธุรกิจ CCS ร่วมกับกลุ่มปตท. และกลุ่มพันธมิตร รวมทั้งแสวงหาแหล่งเงินทุนสนับสนุน เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย ภายในกรอบระยะเวลาและต้นทุนที่เหมาะสม สำหรับการศึกษาที่จะดำเนินการเพิ่มเติม จะครอบคลุมทั้งเทคโนโลยี CCS โดยตัวอย่างเทคโนโลยีที่มีความพร้อมใช้งานในปัจจุบัน อาทิ เช่น เทคโนโลยีการดูดซับด้วยสารดูดซับ (Amine-based Solvents) ระบบท่อส่งคาร์บอนบนบกและนอกชายฝั่ง (Onshore and Offshore Pipelines)  ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจในอนาคต และเพิ่มความมั่นใจในความสำเร็จของโครงการ CCS 

หมายเหตุ: 
1. อ้างอิงจากโครงการ Longship และ Northern Lights ในประเทศนอร์เวย์พบว่าต้นทุนการลงทุน (CAPEX) และต้นทุนการดำเนินงาน (OPEX) ของเทคโนโลยี CCS ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Levelized Cost) อยู่ที่ประมาณ มากกว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (USD/tCOe) (https://bellona.org/publication/briefing-norways-longship-ccs-project)

เอกสารดาวน์โหลด

แนวทางการดำเนินงานและความคืบหน้าปี 2567 ของกลยุทธ์ 3Cs

Thaioil's Physical Risk Report

Thaioil's Transition Risk Report

Thaioil Greenhouse Gas Emission Performance and Target 2024

2023 Assurance Statement of Third Party Verification for Greenhouse Gas Scope 3

ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาอาคารของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER)

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ภายใต้ชื่อโครงการ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาอาคารของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (Solar Rooftop at Thaioil’s Buildings) ที่ดำเนินการแล้วเสร็จ ได้แก่ อาคารสำนักงานวิศวกรรม (Engineering Building Center) อาคารสัฏฐิวรรษวิรุฬห์ (Thaioil Sriracha Building) และอาคารห้องปฏิบัติการ (Laboratory) เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขนาดกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 1 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งผ่านการประเมินและได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจากการลดก๊าซเรือนกระจกครั้งที่หนึ่งในปี 2567 นี้ได้ทั้งสิ้นกว่า 554 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โรงไฟฟ้าพลังงานร่วมขนาด 239 เมกะวัตต์ ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ของบริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ภายใต้ชื่อโครงการ โรงไฟฟ้าพลังงานร่วมขนาด 239 เมกะวัตต์ ณ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ของบริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด ซึ่งผ่านการประเมินและได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจากการลดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2563 – 2567 รวมปริมาณคาร์บอนเครดิตสะสมที่ได้รับทั้งสิ้นกว่า 1,674,618 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โครงการ Low Emission Supporting Scheme (LESS)

โครงการ Low Emission Supporting Scheme (LESS) จากการดำเนินกิจกรรมประเภทอนุรักษ์พลังงานด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของกลุ่มไทยออยล์ จากการคัดเลือกโครงการประเภทกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ การลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยการเพิ่มอุณหภูมิของอากาศขาเข้าเตาเผาของหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซินที่ 2 (Hydrotreater Unit 2) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) การลดการใช้พลังงานโดยการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาที่หน่วยกำจัดกำมะถันและฟอกสี (HFU Catalyst Replacement) ของบริษัท ไทยสู้บเบส จำกัด (มหาชน) การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เครื่องอัดก๊าซ (Compressor) ด้วยการใช้มอเตอร์แบบแปรผันความเร็วที่เตาของหน่วยกลั่นสารโซลีน (Xylene Rerun Unit) ของบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด และการปรับลดการใช้เชื้อเพลิงของหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน โฮโดรคาร์บอน (Unionfining Unit) ของบริษัท ลาบิกซ์ จำกัด ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวนี้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 2,145 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e)

นักลงทุนสัมพันธ์

ข่าวสารและประกาศ

ติดต่อเรา

ร่วมงานกับเรา

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรก โดยผนวกเนื้อหาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปฐมนิเทศสำหรับพนักงานใหม่พร้อมกับส่งมอบคู่มือ CG ผ่านระบบ CG Reporting ส่งผลให้พนักงานใหม่ได้รับการสื่อสารข้อมูลและฝึกอบรม ครบร้อยละ 100 

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ อาทิ Fundamental of Refinery Process และ Business Overview & Refinery Overview เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาพรวมธุรกิจของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และสถานการณ์ตลาดมากยิ่งขึ้น

การจัดกิจกรรม "Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567

การจัดกิจกรรม “Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567 เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีจ่ายน้ำมัน ผู้ประสานงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ห้องตั๋วและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity”

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity” ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ของชาติ รวมถึงงานศิลปกรรม ร่วมกับลูกค้า ณ พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2567

Innovation Talk

เป็นกิจกรรมที่มีการเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมมาให้ความรู้กับพนักงาน เช่น อาจารย์ธงชัย โรจน์กังสดาล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด, คุณณัฐภัทร ธเนศวรกุล ที่ปรึกษาด้านการวัดระดับนวัตกรรมองค์กร จาก บริษัท ไรส์ แอคเซล จำกัด และคุณซีเค เจิง CEO ของ บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด เป็นต้น โดยในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 15 และความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 93 เป็น 94 จาก 100 คะแนนเต็ม และในแต่ละครั้งมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมาก ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

TOP BCG Updates

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ e – Mail รายเดือนเพื่อเพิ่มความรู้ทางด้าน BCG ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประกอบไปด้วยนโยบายการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ 3 ระบบของรัฐบาลไทย ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน และนวัตกรรมในการลดโลกร้อนต่าง ๆ โดยในปี 2567 ภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

TOP Innovation E-newsletter

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Mail) รายสัปดาห์ ส่งให้แก่พนักงานทุกคนในกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ และกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่นวัตกรพึงมีและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน รวมถึงการให้ข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยในปี 2567 มีการเผยแพร่บทความ TOP Innovation e-Newsletter ทั้งหมด 39 ฉบับ มียอดผู้อ่านบทความรวมกว่า 24,707 ครั้ง โดยได้คะแนนความพึงพอใจจากผู้อ่านอยู่ในระดับดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

กิจกรรม Innovation and Learning Day 2024 ประจำปี 2567

กิจกรรม Innovation Failure Challenge

กิจกรรม Innovation Roadshow

กิจกรรม Innovation Idea Challenge

Generating New Actionable Ideas through Change Agent SME
Idea Facilitation & LO Inspirer Workshop

การจัดกิจกรรม Workshop การพัฒนา Change Agent โดยคัดเลือกตัวแทนหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือก โดยกลุ่มของ Change Agent จะได้รับการพัฒนา ให้ความรู้ ทักษะ และเครื่องมือ เพื่อใช้ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมและคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ภายในหน่วยงานตนเอง

CEO Townhall และ Management Meeting

การจัดกิจกรรมการสื่อสารโดย CEO ถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อเน้นย้ำทิศทาง กลยุทธ์ รวมถึงแผนและผลการดำเนินงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงในการนำการเปลี่ยนแปลงลงมาสู่องค์กรและพนักงานทุกคน รวมถึงการรายงานความคืบหน้าของโครงการ Innovation Culture Awareness ในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นผู้บริหารระดับสูงสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง

Building Innovation Culture Awareness through Top
Management Workshop (Management Outing Workshop)

การจัดกิจกรรม Workshop สำหรับผู้บริหาร เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การสร้าง Innovation Culture Awareness ให้กับพนักงานในสายงาน/ ฝ่ายของตนเอง ผ่านพฤติกรรมหลัก “Lead to Innovation Culture” รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากรภายนอกถึงแนวคิดการสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร และการฝึกปฏิบัติการใช้พฤติกรรม i-LEAD as a Role Model

โครงการ Teach for Thailand

วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนาครูผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพปฏิบัติหน้าที่ในฐานะครูผู้ช่วยสอนนักเรียนในระดับชั้นมัธยมต้น

ประเภทโครงการ

โครงการ Teach for Thailand

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่ครูผู้สอนจำนวน 2 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ช่วยสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 

3 ที่โรงเรียนวัดมโนรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่ตั้งใกล้กับโรงกลั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งมีผลการประเมินการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจ ดังนี้
1. นักเรียนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 489 คนในปีการศึกษา 2567
2. พัฒนาการด้านวิชาการ และคุณลักษณะนิสัย และทักษะที่จำเป็นของนักเรียนปรับเพิ่มขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ย Post-test อยู่ที่ 28.51 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ย Pre-test ในภาคเรียนที่ 1 ที่ 27.57 คะแนน และพบว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างและพัฒนาคุณลักษณะนิสัยของนักเรียน ทั้งด้านความพยายาม กรอบความคิดแบบเติบโต และการเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เช่นเดียวกับการสร้างและพัฒนาทักษะที่จำเป็นของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์ ความร่วมมือ และการตระหนักรู้ในตนเอง
3. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการสอน เช่น วีดิทัศน์ บอร์ดเกม โปรแกรมออนไลน์ เป็นต้น ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการและมีทัศนคติที่ดีต่อสาขาวิชาที่เรียนมากขึ้น โดยสามารถตอบคำถาม จำแนกตัวอย่าง และทำงานร่วมกันเป็นทีมกับเพื่อนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี
4. นักเรียนส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและพัฒนาการในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5. ผู้อำนวยการและบุคลากรในโรงเรียนมีความพึงพอใจต่อครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยมีคะแนนรวมความพึงพอใจ 9.1 คะแนนจาก 10 คะแนน และเล็งเห็นว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความรู้ ความสามารถ และลักษณะนิสัยที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานในบริบทที่ท้าทาย ร้อยละ 92 นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนกันอย่างสม่ำเสมอ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำในภาคการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศผ่านการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และวางแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินกิจกรรม ภายใต้โครงการ PTT Group Model School และ CONNEXT ED ในปี 2567 ดังนี้
1. โครงการเตรียมความพร้อมสู่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) พื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การให้ความรู้แก่เยาวชนให้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) และสนับสนุนให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ IoT ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต โดยมีโรงเรียนภายใต้โครงการ CONNEXT ED ของกลุ่ม ปตท. เข้าร่วมกิจกรรม 2 แห่ง และมีครูผู้สอน 2 คน และนักเรียน 6 คน เข้าร่วมโครงการฯ
2. โครงการจิตอาสากลุ่มไทยออยล์ โดยนำพนักงานจิตอาสาไปบรรยายให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และคลินิกฟุตบอล ฟุตซอล เทเบิลเทนนิส และวอลเลย์บอล ให้แก่นักเรียนในชุมชนรอบโรงกลั่น

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศไทย และเป็นการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนในพื้นที่รอบแปลงปลูกป่า

ประเภทโครงการ

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต จำนวน 8,656.22 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น
1.  การปลูกป่า จำนวน 8,300 ไร่ในจังหวัดแพร่ ร่วมกับกรมป่าไม้
2. การปลูกป่าชายเลน จำนวน 356.22 ไร่ในจังหวัดตรังและจังหวัดชลบุรี ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ซึ่งคาดว่า จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 88,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพจากการคัดเลือกชนิดไม้พื้นถิ่นเข้ามาปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่แปลงปลูกป่า

ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้สนับสนุนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน 4 แห่ง เพื่อดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่า ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งยังให้การสนับสนุนองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ผืนป่า นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการต่อยอดอาชีพ ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

วัตถุประสงค์

เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานและสร้างนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในองค์กร

ประเภทโครงการ

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน 

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้ โครงการ Thaioil CE WE GO ในปี 2567 ดังนี้

1. จัดอบรมการฝึกอบรมสำนักงานสีเขียว (Green Office) สำหรับพื้นที่อาคารออดิทอเรียม และศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน จำนวน 2 ครั้ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนโครงการสำนักงานสีเขียว (Green Office) กับกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ให้กับศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน และอาคารออดิทอเรียม โรงกลั่นไทยออยล์
2. จัดกิจกรรมนำผู้แทนครัวเรือนนำร่อง 10 ครัวเรือนและคณะกรรมการชุมชนบ้านนาเก่าไปเยี่ยมชมการดำเนินโครงการชุมชนต้นแบบการจัดการขยะในจังหวัดระยอง

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) และสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้แก่ชุมชนและสังคม

ประเภทโครงการ

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์จัดกิจกรรมสร้างเสริมองค์ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการของเสียและการจัดการระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบุญจิตวิทยา โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 และโรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 (มูลนิธิไต้ล้ง – เช็ง พรประภา) จังหวัดชลบุรี ผ่านกิจกรรมการจัดการของเสีย 4 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ การคัดแยกขยะ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร การรีไซเคิลน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และการแปลงขยะเป็นรายได้ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 – เดือนตุลาคม 2567 พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ มีปริมาณขยะรีไซเคิลรวม 12,240.24 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 27,725 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนั้น ยังมีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ และนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในการทำกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

โครงการ "Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงการคัดแยกขยะและรีไซเคิลให้แก่นักเรียน เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม และ สนับสนุนการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะในโรงเรียนและสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืน

ประเภทโครงการ

โครงการ “Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ต่อยอดจากกิจกรรม “Thaioil Run For the Green Future 2024” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อลดขยะพลาสติกในโรงเรียน และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน โดยบริษัทฯได้ส่งมอบอุปกรณ์คัดแยกขวดน้ำพลาสติกให้โรงเรียนในพื้นที่แหลมฉบังจำนวน 8 แห่ง จากนั้น โรงเรียนจะส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติก เพื่อนำส่งให้บริษัทฯ นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ซึ่งนักเรียนสามารถนำขวดพลาสติกดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เป็นประโยชน์ เช่น ถุงเท้า อุปกรณ์การเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์ทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

วัตถุประสงค์

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบของขยะพลาสติกที่มีต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการลด ละ เลิกการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียว

ประเภทโครงการ

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จัดกิจกรรมแปรรูปขยะเป็นไม้กวาด ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ลักษณะของขยะแต่ละประเภท และร่วมประดิษฐ์ไม้กวาดจากขวดพลาสติก เพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกอันดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

วัตถุประสงค์

เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์

ประเภทโครงการ

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมสนับสนุนการปล่อยพันธุ์สัตว์ทะเลของกลุ่มประมงที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านอ่าวอุดม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเล เพื่อสร้างสมดุลทางทะเลในเขตอ่าวอุดม โดยในปี 2567 บริษัทฯ ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ อาทิ พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กุ้งขาว ลูกปูม้า หมึก ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ พร้อมทั้งร่วมเก็บขยะบริเวณชายหาดชุมชนติดชายฝั่งทะเลอีกด้วย

โครงการด้านการศึกษา

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา และสนับสนุนเยาวชนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ประเภทโครงการ

โครงการด้านการศึกษา

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาที่มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 252 ทุน และกองทุนกลุ่มไทยออยล์เพื่อสถาบันการศึกษาให้แก่สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา จำนวน 11 กองทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,900,000 บาท ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไปในพื้นที่ศรีราชา ณ ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในปี 2567 ดังนี้

1. ร่วมมือกับคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน และร่วมกิจกรรมเปิดบ้านวิชาการกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อจัดนิทรรศการแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอม โดยมุ่งเน้นการนำเสนอขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
2. จัดหลักสูตรทำเทียนหอมสำหรับจัดชุดของชำร่วย โดยใช้สแลคแว็กซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มไทยออยล์ มาเป็นวัตถุดิบ นอกจากนั้น ยังมีการจัดหลักสูตรผู้ประกอบการยุค 2024 ประกอบด้วยหลักสูตรทำเหรียญโปรยทาน และหลักสูตรสลายเศษด้วยถัง สลายมันด้วยฟอง ซึ่งเป็นการผลิตน้ำยาล้างและทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คน

โครงการเดิน - วิ่ง 1 แสนกิโล

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ชุมชนออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และได้รับองค์ความรู้ด้านสุขภาพใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองและครอบครัว

ประเภทโครงการ

โครงการเดิน – วิ่ง 1 แสนกิโล

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์เชิญชวนประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่นมาออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่งและร่วมกันสะสมระยะทาง โดยการบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “นับก้าว” ให้ได้ระยะทางรวม 100,000 กิโลเมตร โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 175 คน และมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลที่ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชนรวม 2 ครั้ง

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากของนักเรียน

ประเภทโครงการ

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ให้บริการทันตกรรม ตรวจสุขภาพช่องปาก อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรซ์ ขูดหินปูน และส่งเสริมป้องกันฟันผุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 4,520 รายที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่ง

โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ร่วมกับกลุ่ม ปตท

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในการเตรียมความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศ

กรอบการดําเนินงาน

1. ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ
2.ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ
3. ประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่นอกเหนือจาก พื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมกับกลุ่ม ปตท. บรรจุและส่งมอบถุงยังชีพกว่า 20,800 ถุง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และยารักษาโรคที่จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดแพร่ น่าน สุโขทัย พะเยา พิษณุโลก หนองคาย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

โครงการ “คุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4”

วัตถุประสงค์

ส่งเสริมค่านิยมให้พนักงานดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยจิตอาสาและส่งเสริมภาพลักษณ์การช่วยเหลือสังคม

ความเป็นมาโครงการ

พนักงานถือเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งมีการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ขณะเดียวกัน ก็มีค่านิยม “วัฒนธรรมจิตอาสา” ที่ยึดถือปฏิบัติร่วมกันมาอย่างยาวนาน จึงก่อให้เกิดโครงการจิตอาสา “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เนื่องในวาระที่ไทยออยล์กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ของการก่อตั้ง และมีการดำเนินการโครงการฯ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 เพื่อสานต่อ “วัฒนธรรมจิตอาสา” ขององค์กร

กรอบการดำเนินงาน

1. ประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ก.ค. 2567
2. เปิดโอกาสให้พนักงานดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ธ.ค. 2567
3. บริษัทฯ สนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรมจิตอาสา 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน

ผลการดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นที่จะกระตุ้นและปลูกฝังให้พนักงานมีจิตอาสาตามค่านิยมองค์กรหัวข้อ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Social Responsibility) จึงได้ดำเนินโครงการ “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริหาร พนักงานและพนักงานผู้รับเหมาเข้าร่วมกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปี 2567 มีการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Team Spirit+” โดยให้ผู้บริหารระดับสูงเชิญชวนพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาภายในสายงานร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแรงกายแรงใจของตนเอง ซึ่งกลุ่มไทยออยล์จะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน เพื่อใช้เป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ในการดำเนินงาน โดยมีพนักงานเข้าร่วมงานทั้งหมด 30 ฝ่ายงาน ภายใต้งบประมาณรวม 1,000,000 บาท โดยนำงบประมาณไปใช้จัดกิจกรรม CSR ให้แก่โรงเรียน มูลนิธิการกุศล ชุมชน และอื่นๆ

โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา (Sustainable Energy for Healthcare and Education)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้การบริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์นำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม รวมถึงประสบการณ์ด้านการจัดการพลังงานมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา มาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาเข้าถึงการใช้พลังงานทางเลือก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า และนำผลประหยัดมาต่อยอดโครงการเพื่อสังคม ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กรอบการดําเนินงาน

1. ศึกษาศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่เป้าหมาย
2. จัดทำรายงานความเป็นไปได้ (Feasibility) และความคุ้มค่าทางการลงทุน ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ร่วมกับที่ปรึกษาโครงการฯ
3. ขออนุมัติการดำเนินโครงการและงบประมาณ
4. คัดเลือกผู้รับเหมาและดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาที่ผ่านการประเมิน
5. ส่งมอบโครงการฯ
6. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอใบอนุญาต (ในกรณีที่เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 3 แห่ง และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 94 กิโลวัตต์ ซึ่งสร้างผลประหยัดเป็นมูลค่ารวม 0.9 ล้านบาทต่อปี โดยนำผลประหยัดที่ได้จากค่ากระแสไฟฟ้าที่ลดลงไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ พัฒนาระบบงานบริการสุขภาพผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs รวมทั้งสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า 51 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

โครงการดำเนินการเกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล

วัตถุประสงค์

เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความเป็นมาของโครงการ

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SBM-2) บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดตั้งคณะทำงานบริหารข้อร้องเรียน เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเดือดร้อน
2. ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบ
3. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาช่วยเหลือตามกรอบแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรม และดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
4. จัดตั้งคณะทำงานการฟื้นฟู เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ภายหลังจากการปิดรับคำร้องของผู้ได้รับผลกระทบ ปรากฏว่า มีผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 905 ราย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 58 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานการฟื้นฟูขึ้น เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงานราชการ ผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรอิสระ และ NGO กลุ่มต่างๆ รวมถึงการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ อยู่ในระหว่างการวางแผนงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

โครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้เยาวชนได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพแข็งแรง เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในอนาคต
2. ส่งเสริมให้เยาวชนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก ได้ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชชูปถัมภ์ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังทั้ง 8 โรงเรียนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก มาตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ ภายหลังได้เข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานกับสมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและเทศบาลนครแหลมฉบัง

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดประชุมร่วมกับผู้อำนวยการและคุณครูผู้ฝึกสอนกีฬาพลศึกษาของโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่งในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง ประกอบด้วยโรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม โรงเรียนวัดมโนรม โรงเรียนวัดแหลมฉบัง โรงเรียนบ้านชากยายจีน โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) และโรงเรียนบุญจิตวิทยา
2. วางแผนโครงการ พร้อมขออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
3. ดำเนินการจัดค่ายฝึกทักษะพัฒนาศักยภาพนักกีฬากระโดดเชือก เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
4. สร้างนักกีฬาหน้าใหม่ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก ซึ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง

ผลการดําเนินงานในปี 2567

1. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทานประเภทมือใหม่ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ณ ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเหรียญทองจำนวน 4 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 10 เหรียญ และเหรียญทองแดงจำนวน 4 เหรียญ นอกจากนั้น โรงเรียนบุญจิตวิทยายังได้รับถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จำนวน 4 ถ้วย และมีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับที่ 2
2. โครงการพัฒนาทักษะนักกีฬาสู่แชมป์กระโดดเชือก ประจำปี 2567 เพื่อคัดเลือกและฝึกซ้อมนักกีฬากระโดดเชือกจากโรงเรียนรอบโรงกลั่น 8 แห่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
3. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 15 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ สนามยิมเนเซียม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสนับสนุนการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยกิจกรรมนี้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 60 คน
4. นักกีฬากระโดดเชือกแหลมฉบังได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก Jump Rope China Open 2024 ณ เมืองหูเป่ย (Huaibei) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนักกีฬาตัวแทนชาวแหลมฉบังได้คว้าเหรียญทองมาได้ 2 รายการ เหรียญเงิน 1 รายการ และเหรียญทองแดง 4 รายการ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเทศบาลนครแหลมฉบัง

การรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

  •  การดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังติดตามและแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 ไม่พบผู้ติดเชื้อ เน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะที่ 1 พบผู้ต้องสงสัยหรือผู้ติดเชื้อในกลุ่มไทยออยล์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย และระยะที่ 2 พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มไทยออยล์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการกอบกู้สถานการณ์และการฟื้นฟู ต้องเปิดศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะของพนักงานและผู้รับเหมา ผ่านศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัยที่มีความพร้อมทั้งภาคทฤษฎี (Theory) และภาคปฏิบัติ (Practice) และประเมินความรู้ความสามารถของพนักงานและผู้รับเหมาที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตามระบบใบอนุญาตในการทำงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตตามบทบาทหน้าที่ ผ่านกระบวนการ Competency Assurance System
  • การยกระดับวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน ด้วย Behavior Based Safety (BBS) โดยได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร BBS ให้กับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย (Train for the Trainer) เพื่อนำไปถ่ายทอดและเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาสำหรับใช้สังเกตพฤติกรรมในการทำงานและสั่งหยุดงานเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัย
  • การจัดให้การฝึกอบรมหลักสูตรการขออนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System and Clearance Certificate Signatory) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในระบบใบอนุญาตในการทำงาน
  • การจัดโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากการทำงาน (30-60-90 Days with No Harm No Leak) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นให้พนักงานและผู้รับเหมาเกิดความตระหนักด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมาย คือ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Treatment Case: MTC)
  • การจัดกิจกรรม Thaioil Group QSHE Day ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยฯ ของพนักงานและผู้รับเหมา โดยการมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นด้าน QSHE ประจำปี 2566 และจัดบูธนิทรรศการ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯ ให้กับพนักงานและผู้รับเหมา
  • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ (12 Life Saving Rules) โดยนำวิถีอันตราย (Line of Fire) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎความปลอดภัยพื้นฐาน ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซของ IOGP
  • การรณรงค์และเสริมสร้างการตระหนักถึงอันตราย ได้แก่ วิถีอันตราย และการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการเขียนรายงาน Potential Incident Report (PIR) โดยมุ่งเน้นถึงการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และสภาพการณ์ที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Unsafe Condition) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
  • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในการทำงานของผู้รับเหมา (Contractor Training Matrix) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน 
  • การจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานและผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ รวมถึงรู้และเข้าใจมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในกิจกรรมการทำงาน เช่น หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (Basic Safety in Refinery) หลักสูตรดับเพลิงขั้นต้น (Basic Firefighting) หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศ (Confined Space) และหลักสูตรการปฐมพยาบาล (First Aid) เป็นต้น
  • การอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยเฉพาะ สำหรับพนักงานและผู้รับเหมา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสอดคล้องตามข้อกำหนด เช่น หลักสูตรผู้อนุมัติใบรับรองความปลอดภัย (Authorized Engineer (AE)/ Authorized Gas Safety Inspector (AGSI) Course) หลักสูตรผู้อนุมัติใบอนุญาตทำงาน (Clearance Certificate Signatory) หลักสูตรผู้ตรวจวัดแก๊ส (Authorized Gas Tester) หลักสูตรความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น
  • กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรุกโดยการยกระดับกิจกรรม Management Walk and Talk เป็น GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินกิจกรรม QSHE Roll Out อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการเข้าถึง รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมจิตสำนึกด้านคุณภาพความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงานหรือภายในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ณ ขณะนั้น อีกทั้ง กลุ่มไทยออยล์ยังนำระบบการจัดการต่างๆ ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และมีการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นให้ผู้บริหารได้รับทราบและร่วมหาแนวทางการแก้ไขเป็นประจำ รวมถึงจะมีกระบวนการทบทวน (Management Review) เป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงและจัดทำแผนงานประจำปีต่อไป พร้อมทั้งมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต่อไป

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การทบทวนระบบใบอนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System) โดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนหรือประกายไฟ (Hot Work) รวมถึงรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • จากการประเมินระดับวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2565 ผลการประเมินที่ 4.16 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5.00 คะแนน ซึ่งนำมาด้วยแผนงานพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้เพื่อให้พนักงานและผู้รับเหมามีความตระหนักและให้องค์กรก้าวเข้าสู่องค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ
  • การตรวจสอบระบบใบอนุญาต (Permit to Work Inspection) โดยพนักงานเจ้าของพื้นที่ (Area Operation) และทีมตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Audit Team) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำการ์ดมอบอำนาจสิทธิในการสั่งหยุดงาน (Stop Work Authority) ให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาทุกคน เมื่อพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานมีสภาพการณ์หรือสภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อตนเองและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพย์สินของกลุ่มไทยออยล์ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นและเน้นย้ำถึงการป้องกันและแก้ไขก่อนเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์
  • การประเมินดัชนีชี้วัดสมรรถนะด้านสุขภาพ (Health Performance Indicators) ตามหลักเกณฑ์และแนวทางของ International Association of Oil and Gas Producers (IOGP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดยได้รับคะแนนการประเมินในปี 2566 ที่ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4.00 คะแนน พร้อมจัดทำแผนงานพัฒนาและยกระดับระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของ IOGP ต่อไป
  • การยกระดับการบริหารจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management) ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มีการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยประจำปีของบริษัทผู้รับเหมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party) ทั้งในส่วนของระบบบริหารจัดการและการปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับใช้ในการแบ่งระดับผู้รับเหมา (Contractor Banding) เป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กรณีที่บริษัทผู้รับเหมา มีผลการประเมินฯ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (สีเหลือง หรือ สีแดง) จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมานำเสนอแผนงานและทำการปรับปรุงแก้ไขประเด็นปัญหาให้สอดคล้องตามข้อกำหนดและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเอกสารการประเมินผลด้านเทคนิคของความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการประมูลผู้รับเหมา (Contract SSHE Bidding and Close Out Evaluation)
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติงานที่ปลอดภัย สำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ งานยกของหนักโดยปั้นจั่น งานนั่งร้าน งานที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในเขตพื้นที่โรงกลั่น เป็นต้น และทำการฝึกอบรมและสื่อสารให้กับพนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติหรือฉุกเฉินสำหรับผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้อง ด้วยระบบ SMS เพื่อให้ผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินทราบถึงเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาสนับสนุนการระงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติกรณีเกิดฝนฟ้าคะนองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้พนักงานทราบและดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเป็นการแจ้งเตือนเพื่อเตรียมความพร้อมของทีมระงับเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดไฟไหม้ที่บริเวณขอบถังน้ำมันชนิดหลังคาลอย (Rim Seal Fire)
  • การทบทวนแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า (Pre Incident Plan) ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานสากล รวมถึงการฝึกซ้อมตามแผนที่กำหนด เพื่อเป็นการซักซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า ระดับที่ 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับหน่วยผลิตใหม่ของโครงการ CFP
  • การทบทวนคู่มือการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤติ (Emergency and Crisis Management Manual) และการวางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชุน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต

​การประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

  • การทบทวนการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงและอันตรายที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกัน และมีการตรวจติดตามประสิทธิผลของมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบความปลอดภัย การวิเคราะห์ รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยพนักงานและผู้รับเหมา ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีการทบทวนและตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำทุกเดือน
  • การประเมินความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง และทบทวนมาตรการควบคุมและป้องกันด้านความปลอดภัย โดยกำหนดแผนและมาตรการความมั่นคงและความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ (Defense in Depth) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารเคมี โดยมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในระดับต่างๆ และต่อยอดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินไปสู่ระดับการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ร่วมกับหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ยังคงบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงร้ายแรงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
  • การทบทวนบัญชีอุบัติเหตุที่มีศักยภาพก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง (Major Accident Event) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และการทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินและภาวะวิกฤต รวมถึงแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) ตลอดจนปรับปรุงศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน (Emergency Control Center) ให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติการบริหารจัดการอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ให้ครอบคลุมอุบัติการณ์ทุกประเภท ได้แก่ การบาดเจ็บจากการทำงาน โรคหรือการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อื่นๆ รวมถึงอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต มีการประเมินระดับความรุนแรงและความเสี่ยง โดยใช้ตารางการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) เพื่อกำหนดทีมสอบสวนฯ และวิธีการสอบสวนฯ ที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงและความเสี่ยงของอุบัติการณ์นั้น และต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

การขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx)

  • การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx) เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก และปรับเป้าหมายความปลอดภัยระดับองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว คือ No Harm, No Leak, Goal Zero
  • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินและวิกฤตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแผนกลยุทธ์และเป้าหมายระดับองค์กรใหม่
  • การมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงนำเสนอกรณีศึกษาและประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
  • การเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้งในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ การหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต และงานโครงการก่อสร้าง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนับสนุนความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีด้านภาวะผู้นำความปลอดภัย

SMILE Activity

Working with the right to health

Working with the right to health: กลุ่มไทยออยล์บริหารจัดการและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และมีมาตรการการดูแลรักษาพนักงานอย่างต่อเนื่องจนหายป่วย และสามารกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย (Return to work) โดยกำหนดมาตรการและนโยบายที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของภาครัฐ พร้อมสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มไทยออยล์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งมีการกำหนดนโยบายการปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home Policy) เพื่อให้พนักงานมีสิทธิในการเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตน
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำนโยบายสนับสนุนพนักงานกลุ่มไทยออยล์ “People First for Employee Support Policy” เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและให้ความช่วยเหลือแก่พนักงาน ครอบครัวพนักงาน และสมาชิกชมรมพนักงานเกษียณกลุ่มไทยออยล์ ที่เผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านการเงิน กฎหมาย สุขภาพกาย สุขภาพใจ แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด ปัญหาการสมรส ความเจ็บป่วย ของสมาชิกในครอบครัว การดูแลบุตร ฯลฯ ทั้งในรูปแบบของสิทธิประโยชน์สวัสดิการ และมิใช่สวัสดิการ ตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน

Improving mental health care

Improving mental health care: โครงการ 5 สุข เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาวะของพนักงานวิถีใหม่ (New Normal Work Life) และเพื่อให้พนักงานได้เข้าใจสิทธิที่พนักงานควรได้รับทั้งการดูแลพนักงานรวมถึงพนักงานที่เกษียณอายุในทุกด้านผ่าน โครงการ 5 สุขของกลุ่มไทยออยล์ ได้แก่

Ensuring education for all

Ensuring education for all: การให้ความรู้และสร้างความตระหนักด้านสิทธิมนุษยชน สำหรับพนักงานผ่าน Human Rights E-learning ใน “Thaioil Academy Application” และสำหรับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการบรรยายเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ในงานสัมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ประจำปี 2566 (Supplier Seminar 2023) ณ หอประชุมไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการยอมรับแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Supplier Code of Conduct) เป็นต้น

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future"

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน” ผ่านการจัดงานในรูปแบบ Hybrid เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของกลุ่ม ปตท. และเน้นย้ำให้บุคลากรทุกระดับในกลุ่ม ปตท. นำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยมีคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนบริษัทคู่ค้า และแขกรับเชิญจากหน่วยงานกำกับฯ เช่น ตัวแทนจากมูลนิธิต่อต้านการทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าร่วมงานกว่า 400 คน รวมทั้งมีการเชิญคู่ค้า ลูกค้า และพนักงานเข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ของงานอีกด้วย

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC (GRC Culture Survey) ประจำปี 2566 เพื่อประเมินวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบและข้อบังคับ (GRC) ในภาพรวม โดยผลการสำรวจที่ได้รับจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกำกับดูแลกิจการอย่างเหมาะสมต่อไป

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น คอลัมน์ GRC Corner ในวารสารอัคนี (วารสารภายในองค์กร) GRC Newsletter รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy)

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy) ให้พนักงานทุกคนรับทราบผ่านช่องทางสื่อสารภายในองค์กร ในหลากหลายรูปแบบ เช่น คลิปวีดิโอ E-newsletter เป็นต้นตลอดจนการจัดส่ง “หนังสือขอความร่วมมืองดมอบของขวัญหรือของกำนัลแก่ผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยออยล์” แก่คู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันเหตุปัจจัยที่อาจนำไปสู่การกระทำที่ขัดต่อนโยบายการต่อต้านทุจริต

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning)

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ได้แก่ CG Orientation E-learning สำหรับพนักงานใหม่ ประกอบด้วยหัวข้อหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต และ Anti-Fraud E-learning สำหรับพนักงานปัจจุบัน เพื่อให้ความรู้ที่มาของการเกิดทุจริต และแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตภายในองค์กร

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้ และส่งเสริมพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่โปร่งใส เป็นธรรม ตลอดปี 2566 เช่น กิจกรรม Compliance & CG Talk หัวข้อ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดย นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กิจกรรม Law Focus หัวข้อ การป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดยผู้บริหารจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กิจกรรม GRC in Action บริเวณหน้างาน CEO Townhall ประจำไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 กิจกรรม Good to Great CG Contest เชิญชวนแบ่งปันวิธีการทำงานที่ส่งเสริมแนวทาง CG ในแบบของคุณ เป็นต้น

SAP ECC

ปรับปรุงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่บริษัทฯ ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน หรือ ที่เรียกว่า SAP ECC ให้ยังคงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบ ERP ไปสู่ SAP S/4 HANA ในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027)

Prominence Enhancement

พัฒนาระบบที่ใช้เก็บข้อมูลการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มไทยออยล์ โดยมีข้อมูลในหลายแง่มุม เช่น ประเภทคู่ค้า ราคา ปริมาณการซื้อขาย ช่วงเวลาการซื้อขาย รูปแบบการชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างราคา และช่วยในการตัดสินใจสำหรับการกำหนดรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสมกับคู่ค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรที่มากขึ้น ตามแต่ละสถานการณ์ของตลาดที่มีความผันผวน

Predictive Maintenance Analytics

พัฒนาระบบประมวลผลข้อมูลการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรที่สำคัญในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ เพื่อใช้ทำนายโอกาสที่อุปกรณ์เครื่องจักรเหล่านั้นจะเกิดความเสียหายและหาทางป้องกันล่วงหน้า เพื่อไม่ไห้เกิดเหตุการณ์ Unplan Shutdown และ Unplan Maintenance ต่างๆ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

www.jskem.com.sg 

TOPNEXT ได้ซื้อหุ้นจำนวน 60% ในJSKEM เพื่อขยายธุรกิจด้านจัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศสิงคโปร์ และอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 2021

PT. Tirta Surya Raya

PT. Tirta Surya Raya

TOPNEXT (TX)  ได้ซื้อหุ้นจำนวน 67% ใน PT. Tirta Surya Raya ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar (TSMM) ปี พ.ศ.2560 บริษัทฯได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทน ในประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ TOP Solvent Company Limited (Myanmar Representative Office) เป็นตัวแทนบริษัทฯ ในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อจำหน่ายสินค้า Petroleum และเคมีภัณฑ์ พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 โดยมี บจ. ท็อป โซลเว้นท์ ถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์ และเป็นการลงทุนต่างประเทศครั้งแรกของไทยออยล์ ให้บริการด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารทำละลาย และเคมีภัณฑ์ หลากหลายรูปแบบ เช่น อุตสาหกรรมสี สารเคลือบผิว ทินเนอร์ กาว ตัวประสาน หมึกพิมพ์ อิเลคโทรนิค นํ้ายาทำความสะอาดต่างๆ การสกัดนํ้ามันพืช และอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม Go Dau (เวียดนามใต้) จังหวัด Dong Nai (เวียดนามใต้) และ จังหวัด Hai Phong (เวียดนามเหนือ)

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

www.sakchaisit.com 

มีบริษัท ท็อป เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นผู้ผลิตสารทำละลายไฮโดรคาร์บอนคุณภาพสูง สำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสี, ยางรถยนต์, กาว, น้ำมันพืช, โฟม, พลาสติก, เหมืองทองแดง เป็นต้น