Skip links

การจัดการนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อลูกค้า

การจัดการนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อลูกค้า

ความท้าทาย ความเสี่ยง

และผลกระทบ

อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีมีความสำคัญและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้านที่ถาโถมเข้ามา ทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้กำลังซื้อลดลง ราคาพลังงานผันผวนที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และกำไร ความไม่แน่นอนทางนโยบายการเมือง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นทุนต่ำมาแข่งขันในเวทีโลก ทำให้สินค้าล้นตลาดและราคาผันผวน และที่สำคัญ คือ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และปัญหาการจัดการขยะพลาสติก (Plastic Waste)

กลุ่มไทยออยล์ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานของไทย จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยมุ่งหวังในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ใหม่จากผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันทางธุรกิจ และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

ความมุ่งมั่น และเป้าหมาย

กลุ่มไทยออยล์ยกระดับความสำคัญของนวัตกรรมองค์กรมาตั้งแต่ปี 2565 ดังจะเห็นได้จากการปรับให้นวัตกรรม (Innovation) เป็นหนึ่งในค่านิยมขององค์กร (Corporate Value) และมีการวัดระดับนวัตกรรมองค์กรเป็นครั้งแรก โดยอยู่ในระดับที่ 3 (ระดับท้าทาย) จากทั้งหมด 5 ระดับ
ซึ่งกลุ่มไทยออยล์มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับนวัตกรรมองค์กรจากระดับที่ 3 (ระดับท้าทาย) ไปสู่ระดับที่ 4 (ระดับเชี่ยวชาญ) ภายในปี 2569 เพื่อให้ทัดเทียมบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

เป้าหมาย

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นในการพัฒนาสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมจากระดับที่ 3 เป็นระดับที่ 4 ภายในปี 2569 ซึ่งหมายถึง การเริ่มมีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่มีความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมและสร้างผลกระทบทางธุรกิจกับบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ จึงถือว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายและต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในองค์กรร่วมกันขับเคลื่อนองค์กร เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยไทยออยล์กำหนดแผนงานในแต่ละปีเพื่อบรรลุเป้าหมายในปี 2569 ไว้ดังนี้
ในปี 2565 บริษัทฯ มีระดับนวัตกรรมขององค์กรอยู่ที่ระดับ 3 (จาก 5 ระดับ) และมีแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาระดับนวัตกรรมขององค์กรที่ชัดเจน

ปี 2567 เน้นเรื่องการนำไอเดียสร้างสรรค์มาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงเป็นโครงการต้นแบบ (Prototype) เพื่อนำไปทดสอบกับผู้ใช้งานหรือลูกค้าและเก็บข้อคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริงเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานต่อไป โดยในปีนี้ มีการวัดระดับนวัตกรรมองค์กรอีกครั้งเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ปี 2568 นำผลการวัดระดับนวัตกรรมขององค์กรที่ได้มาพัฒนา ปรับปรุง และส่งเสริมให้พนักงานมีความพร้อม เพื่อยกระดับสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมระดับที่ 4 (เชี่ยวชาญ) ภายในปี 2569 ตามเป้าหมายที่กำหนด

ปี 2569 วัดระดับนวัตกรรมองค์กรครั้งที่ 3

ระดับนวัตกรรม

เป้าหมายปี 2569

ระดับที่ 4 (ระดับเชี่ยวชาญ) (จากทั้งหมด 5 ระดับ)

ระดับ

รักษาความผูกพันของลูกค้ากลุ่มไทยออยล์

เป้าหมายปี 2567

92

ร้อยละ

กลุ่มไทยออยล์มุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจในสินค้าและบริการให้กับลูกค้า ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อจนถึงการบริหารจัดการเพื่อให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ครบถ้วน ถูกต้อง และตามเวลาที่กำหนด ตลอดจนการรับเรื่องร้องเรียนและการติดตามแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บริษัทฯ สามารถปรับแผนการตลาดได้อย่างเหมาะสมและเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตร

แนวทางการบริหารจัดการ​และผลการดำเนินงาน

การบริหารจัดการนวัตกรรม

การบริหารจัดการนวัตกรรม

แนวทางการบริหารจัดการ

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีการกำหนด เป้าหมายดัชนีวัดผลการดำเนินงานระดับองค์กร (Corporate KPI) ด้านนวัตกรรม เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยระดับที่ 1 มีไอเดียที่สร้างสรรค์และโครงการต้นแบบ (Prototype) รวมกัน 20 โครงการ, ระดับที่ 2 มีไอเดียที่สร้างสรรค์และโครงการต้นแบบรวมกัน 30 โครงการ, ระดับที่ 3 คือ สร้างหรือผลิตโครงการต้นแบบแล้วเสร็จ 30 โครงการ ส่วนระดับที่ 4 และ 5 คือ มีผลประโยชน์ที่เป็นไปได้จากการลงมือทำโครงการต้นแบบให้เกิดขึ้นจริงเป็นเงิน 100 และ 200 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ

เป้าหมายด้านนวัตกรรมขององค์กรถูกถ่ายทอดไปเป็นเป้าหมายของฝ่ายต่าง ๆ อย่างทั่วถึงทั้ง 35 ฝ่ายในบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนไอเดียเป็นโครงการต้นแบบ และนำไปทดสอบกับผู้ใช้งานหรือลูกค้าเพื่อเก็บข้อคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง รวมถึงนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานต่อไป โดยผลลัพธ์ที่ได้ในปี 2567 คือ พนักงานในกลุ่มไทยออยล์ทั้ง 35 ฝ่ายมีการสร้างโครงการต้นแบบ (Prototype) แล้วเสร็จทั้งหมด 53 โครงการ โดยมีผลรวมของผลประโยชน์ที่เป็นไปได้ (Potential Benefit) อยู่ที่ 233 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าบรรลุเป้าหมายขององค์กรด้านนวัตกรรมในระดับสูงสุดตามที่กำหนดไว้

นอกจากนี้ ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการประเมินระดับนวัตกรรมองค์กรอีกครั้งหลังจากที่เคยประเมินครั้งแรกไปในปี 2565 เพื่อตรวจสอบผลการดำเนินการพัฒนาด้านนวัตกรรมองค์กรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิด โดยผลของระดับนวัตกรรมองค์กรประจำปี 2567 เห็นพัฒนาการอย่างชัดเจน จาก 56 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) ที่ได้ในปี 2565 เพิ่มขึ้นมาเป็น 67 คะแนน โดยยังคงอยู่ในระดับที่ 3 (ระดับท้าทาย) จากทั้งหมด 5 ระดับ แต่ใกล้เคียงระดับที่ 4 (ระดับเชี่ยวชาญ) ที่ต้องได้คะแนนมากกว่า 70 คะแนน ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวที่กลุ่มไทยออยล์กำหนดไว้ภายในปี 2569

การเพิ่มขึ้นของคะแนนระดับนวัตกรรมองค์กรถึง 11 คะแนนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งในการผลักดันนวัตกรรมองค์กรอย่างจริงจังตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ถือเป็นบริษัทเดียวในกลุ่ม Oil & Gas ของไทยที่คะแนนเพิ่มขึ้นในระดับ “TOP Quartile” หรือมากกว่า 5 คะแนนต่อปี ซึ่งความสำเร็จนี้มีผลมาจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงานทุกระดับชั้น เพื่อยกระดับนวัตกรรมองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทัดเทียมบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศในด้านนวัตกรรม

วัฒนธรรมนวัตกรรม

แนวทางการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กร 

กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนพนักงานให้ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมเรื่อยมา โดยมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านนวัตกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรม ดังต่อไปนี้

โครงการ i-LEAD

เพื่อตอบสนองต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นฐานสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจให้เติบโตและก้าวหน้าอย่างยั่งยืน กลุ่มไทยออยล์จึงให้ความสำคัญกับ “นวัตกรรม” โดยมุ่งเน้นให้บุคลากรพัฒนาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ สร้างแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต

กลุ่มไทยออยล์จึงได้ผลักดันการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กรอย่างเป็นระบบ ผ่านพฤติกรรม “i-LEAD” (เรียน ลอง คล่อง กล้า) ซึ่งเป็นชุดพฤติกรรมที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาจากตัวแทนของพนักงานทุกระดับ เพื่อให้พนักงานเข้าใจ จดจำ และแสดงออกถึงพฤติกรรมการมีนวัตกรรมได้อย่างชัดเจน และสอดคล้องกันทั้งองค์กร ในปี 2567 ได้ดำเนินการยกระดับและส่งเสริมให้พนักงานได้นำพฤติกรรมดังกล่าวไปปฏิบัติในการทำงานจนเป็นนิสัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้บริษัทฯ ก้าวสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม ผ่านการทำกิจกรรมที่หลากหลาย ดังนี้

กิจกรรมเสริมสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมและการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ที่หลากหลายของบริษัทฯ เช่น กิจกรรมส่งเสริมพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรม กิจกรรมเดินสายโรดโชว์ เป็นต้น ตลอดจนการจัดงานวัน Innovation and Learning Day ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กร โดยมีผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้มอบรางวัลให้แก่พนักงานที่มีผลงานโดดเด่นด้านนวัตกรรมและด้านความรู้ให้กับองค์กร ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพนักงานกลุ่มไทยออยล์ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม

โครงการส่งเสริมการสร้างความรู้ด้านนวัตกรรมแก่พนักงาน

กลุ่มไทยออยล์ส่งเสริมพนักงานให้เป็นนวัตกรที่มีคุณภาพ ให้มีความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของนวัตกรรม องค์ความรู้เพื่อการต่อยอดพัฒนา และแรงบันดาลใจเกี่ยวกับนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมดังต่อไปนี้

โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้รวบรวมผลงานจากการสร้างโครงการต้นแบบ (Prototype) จำนวน 62 โครงการ ด้านนวัตกรรมจากทุกฝ่าย ได้มีการประเมินผลงานของแต่ละโครงการจากคณะกรรมการ โดยมีโครงการที่โดดเด่นและได้รับรางวัล Prototype Awards จำนวน 11 โครงการ โดยรางวัลตัวต้นแบบที่ดีที่สุดมี 2 โครงการ คือ โครงการ Robotic Cleaning for Fire Heater Application จากแผนก EOSC, ENTS และ RHRD เป็นการร่วมมือพัฒนาหุ่นยนต์ทำความสะอาดเตาเผาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดมากกว่าวิธีที่ทำด้วยคนและไม่ต้องตั้งนั่งร้าน ทำให้ลดเวลาการทำงานได้มากถึง 50% และอีกโครงการหนึ่งคือ Oil Mist Generator Controller Upgrading จากแผนก ENIM และ ENMM เป็นการปรับปรุงชุดควบคุมระบบเครื่องสร้างละอองน้ำมัน โดยเพิ่ม Diagnostic Function และ Log Trend ที่ทำให้สามารถวิเคราะห์เครื่องจักรได้อย่างทันที
ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 บริษัทได้จัดงาน “Innovation and Learning Day 2024” ซึ่งมีกิจกรรมมากมายในด้านการเรียนรู้ และนวัตกรรมของบริษัท โดยมี CEO เป็นผู้มอบรางวัลให้กับโครงการที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับพนักงานทุกคนในการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่อไป
ความร่วมมือด้านนวัตกรรมภายนอกองค์กร
ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับภาคการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนงานตามกลยุทธ์ด้านการวิจัยและพัฒนาสู่การปฏิบัติ ทั้งการจัดการด้านกำลังคนและการจัดการด้านงานวิจัยและพัฒนา ภายใต้โครงสร้างที่แบ่งออกเป็น 6 ศูนย์ความเป็นเลิศ ได้แก่
  • ศูนย์ความเป็นเลิศด้านน้ำมันดิบ (Crude Excellence Center)
  • ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสารเร่งปฏิกิริยาและสารดูดซับ (Catalyst & Adsorbent Excellence Center)
  • ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ (AI/Robotics Solution Provider)
  • ศูนย์งานวิจัยด้านผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Product/High Value Business)
  • ศูนย์งานวิจัยด้านพอลิเมอร์และอนุพันธ์ของโอเลฟิน (Polymer & Olefin Derivatives) และ
  • ศูนย์งานวิจัยด้านความยั่งยืนและธุรกิจใหม่ (Sustainability & New Business)
โดยทั้ง 6 ศูนย์ความเป็นเลิศมุ่งเน้นที่จะพัฒนาผลงานวิจัยร่วมกับพันธมิตรภาคการศึกษาและภาคธุรกิจให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ากลุ่มใหม่ ด้วยวิธีการทำงานแบบสอดประสานกันของแต่ละหน่วยงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Cross Functioning Team) โดยมีผลงานโครงการวิจัยและพัฒนาที่เกิดขึ้นในปี 2567 จำนวน 14 โครงการ และโครงการวิจัยแล้วเสร็จจำนวน 5 โครงการ
นอกจากการร่วมมือกับหน่วยงานภาคการศึกษาและภาครัฐแล้ว กลุ่มไทยออยล์ยังได้ขยายความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท อินน็อกซ์เซ่ลลา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์สารลดแรงตึงผิว (Surfactant) สำหรับใช้กับบุคคล (Personal care) รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพการชำระล้างจนได้สูตรผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดที่ดีและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ต่อผิวหนัง โดยผ่านการทดสอบและมีใบรับรองโดยแพทย์ผิวหนังจากสถาบันที่มีมาตรฐาน
นอกจากนี้ ในปี 2567 โครงการวิจัยและพัฒนาที่แล้วเสร็จจากความร่วมมือกับหน่วยงานภาคการศึกษาและภาครัฐ ได้แก่

1. โครงการพัฒนาหุ่นยนต์ทำความสะอาดท่อรับความร้อนของเตาอุ่นน้ำมันในกระบวนการกลั่นน้ำมัน เป็นหุ่นยนต์ที่พัฒนาร่วมกับสถาบันวิทยสิริเมธี (Vidyasirimedhi Institute of Science and Technology: VISTEC) โดยหุ่นยนต์นี้มีความพิเศษคือสามารถทำความสะอาดด้วยการเคลื่อนที่ไปตามความยาวของท่อโดยที่ไม่ต้องมีการตั้งนั่งร้านเพื่อทำความสะอาด ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุในการปฏิบัติงานบนนั่งร้านได้ รวมถึงช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อให้ความร้อนกับอุปกรณ์เตาอุ่นน้ำมันในกระบวนการผลิตอีกด้วย

2. โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันยาง (Rubber Process Oil: RPO) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ในกลุ่มของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (Automotive part) จากผลิตภัณฑ์ของ บมจ. ไทยลู้บเบส โดยปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำมันยางพาราฟินิก (Paraffinic Oil) ประกอบด้วย ความหนืด (Viscosity) ความเป็นกรด (Acid number) ค่าความกัดกร่อน (Copper Strip Corrosion) ให้มีความเหมาะสมกับสูตรและกระบวนการผลิตของลูกค้า เพื่อทดแทนการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันยางจากต่างประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการผลิตมีปริมาณสารก่อมะเร็งอยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานด้านสุขภาพที่กำหนด ผลิตภัณฑ์นี้ได้เริ่มจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา โดยคิดเป็นผลประโยชน์ที่ได้ 0.3 ล้านบาท

3. โครงการพัฒนาวัสดุเปลี่ยนเฟส (Phase Change Materials: PCMs) จากผลิตภัณฑ์ Slack Wax ของ บมจ.ไทยลู้บเบส เป็นโครงการความร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้ผลิตภัณฑ์ Slack Wax เป็นสารตั้งต้น จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า Slack Wax มีคุณสมบัติเป็นสารเปลี่ยนเฟส กล่าวคือมีคุณสมบัติในการดูดซับหรือปล่อยความร้อนที่เรียกว่า ความร้อนแฝง ทำให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะทางกายภาพ เช่น จากของแข็งเป็นของเหลว และเมื่อลดความร้อนลง สารดังกล่าวก็จะเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นของแข็งตามเดิม

4. โครงการทดสอบสารเร่งปฏิกิริยาสำหรับการผลิตน้ำมันยูโร 5 เป็นโครงการความร่วมมือกับวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (The Petroleum and Petrochemical College: PPC) โดยได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของสารเร่งปฏิกิริยาด้วยหน่วยจำลองทดสอบ (Pilot Unit) ของผู้ผลิตสารเร่งปฏิกิริยาที่เสนอเข้าร่วมประมูลการเปลี่ยนแปลงสารเร่งปฏิกิริยาในหน่วยผลิตน้ำมันยูโร 5 ผลการทดสอบที่ได้ทำให้โรงกลั่นสามารถคัดเลือกผู้ผลิตสารเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสมต่อกระบวนการผลิตและสภาวะการผลิตได้

5. โครงการเปลี่ยนเอทิลีนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเป็นเอทิลีนคาร์บอเนต สำหรับใช้เป็นสารละลายในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนด้วยกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตภายใต้เทคโนโลยีปัจจุบัน โครงการนี้เป็นโครงการความร่วมมือกับสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และได้มีการยื่นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญากับกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว

นวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ 

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ปัจจุบัน หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาร่วมกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก ได้แก่ การระดมความคิดกับฝ่ายขายผลิตภัณฑ์ เพื่อหาช่องทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การระดมความคิดกับฝ่ายผลิต เพื่อปรับกระบวนการผลิตให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตามที่ตลาดต้องการ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อค้นหาแนวโน้มของเทคโนโลยีและธุรกิจเพื่อประโยชน์ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง เป็นต้น โดยตัวอย่างนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ที่สำคัญของกลุ่มไทยออยล์ในปี 2567 ได้แก่

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคราบไฮโดรคาร์บอนและลดไอระเหยของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon Decontamination Chemical)

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) สำหรับใช้ในระดับอุตสาหกรรม (Industrial Care) เพื่อกำจัดคราบไฮโดรคาร์บอนหรือน้ำมันและไอระเหยของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Volatile Organic Compounds: VOCs) ที่หลงเหลืออยู่ในอุปกรณ์ของอุตสาหกรรมโรงกลั่นและปิโตรเคมี ให้มีค่าต่ำกว่า 500 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ก่อนอนุญาตให้ทำการเปิดอุปกรณ์และสามารถตรวจสอบสภาพภายในอุปกรณ์ได้ โดยมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์ประเภทอะโรเมติกส์ (Aromatic) แก๊สโซลีน (Gasoline) และน้ำมันดิบ (Crude oil) ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการ พบว่าผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) ที่พัฒนาขึ้นสำหรับอะโรเมติกส์ ครอบคลุมกลุ่มเบนซีน โทลูอีน และไซลีน มีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบและลดไอระเหยได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับสารเคมีที่มีจำหน่ายในอุตสาหกรรม ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ (Import) อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบด้านการกัดกร่อนกับพื้นผิวอุปกรณ์ และสุขภาพของผู้ปฏิบัติการ ซึ่งโครงการนี้ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์กับอุปกรณ์ถังเก็บเบนซีน ของบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด โดยมีผลการทดสอบด้านการชำระล้างคราบไฮโดรคาร์บอนและกำจัดไอระเหยไฮโดรคาร์บอนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับสารเคมีที่มีจำหน่ายในอุตสาหกรรมในด้านประสิทธิภาพการชำระล้างและการกำจัดไอระเหยไฮโดรคาร์บอน โดยใช้ปริมาณสารเคมีที่น้อยกว่า มีปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นน้อยกว่า และระยะเวลาที่ใช้ในการทำงานน้อยกว่า ดังนั้น บริษัทฯ จึงเริ่มขั้นตอนการร่างอนุสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองสูตรผลิตภัณฑ์ และจัดทำแผนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผลงานวิจัยนี้ออกสู่ตลาดในปี 2568 รวมถึงการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและกำจัดไอระเหยไฮโดรคาร์บอนสำหรับแก๊สโซลีนและน้ำมันดิบต่อไปด้วย

ผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์สำหรับล้างมือโดยไม่ใช้น้ำ (Waterless Hand Cleaner)

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) เพื่อกำจัดคราบสกปรก เช่น น้ำมันหรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน จารบี หมึกพิมพ์ น้ำมัน เป็นต้น ที่ติดบนส่วนของร่างกาย เช่น ฝ่ามือ แขน โดยไม่ต้องใช้น้ำล้างซ้ำ โครงการวิจัยนี้เป็นการร่วมมือกับบริษัท อินน็อกซ์เซ่ลลา จำกัด ได้ร่วมพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) ที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ต่อผิวหนัง โดยผ่านการทดสอบและมีใบรับรองโดยแพทย์ผิวหนังจากสถาบันที่มีมาตรฐาน โครงการนี้ได้นำผลิตภัณฑ์ต้นแบบให้พนักงานในหน่วยงานซ่อมบำรุง หน่วยงานวิศวกรรม หน่วยงานผลิต เป็นต้น ร่วมทดสอบโดยผลการทดสอบในด้านประสิทธิภาพการชำระล้าง ไม่ด้อยไปกว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในปัจจุบัน โดยในปี 2568 มีแผนที่จะยื่นจดอนุสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองสูตรผลิตภัณฑ์ ขึ้นทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผลิตผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดต่อไป

การพัฒนาสารกันเสียชีวภาพจากแบคทีเรีย สำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์สีและน้ำยาเคลือบวัสดุ (Paint & Coating)

เป็นโครงการวิจัยค้นหาแบคทีริโอซินที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นสารกันเสียชีวภาพ (Bio Preservative) โดยมุ่งเน้นการนำแบคทีริโอซินเป้าหมายมาทดสอบกับเชื้อชนิดต่างๆ อาทิ แบคทีเรีย รา และยีสต์ เพื่อดูฤทธิ์ในการยับยั้งการเติบโตในผลิตภัณฑ์สีและน้ำยาเคลือบวัสดุเทียบกับสารกันเสียที่มีใช้ในปัจจุบัน (Comparative Test) โดยโครงการยังอยู่ในขั้นตอนการเปรียบเทียบประสิทธิภาพ และการเตรียมข้อเสนอโครงการวิจัยในขั้นต่อไป

นวัตกรรมเชิงกระบวนการ

นวัตกรรมเชิงกระบวนการสามารถแบ่งออกได้เป็นการพัฒนาด้านกระบวนการผลิต กระบวนการทำงาน หรือกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนวัตกรรมเชิงกระบวนการที่สำคัญของกลุ่มไทยออยล์ในปี 2567 ได้แก่

โครงการเพิ่มมูลค่าของกากจุลินทรีย์ในระบบบำบัดน้ำเสีย

โครงการวิจัยศึกษาการเพิ่มมูลค่ากากจุลินทรีย์ในระบบบำบัดน้ำเสียแทนการเผาทิ้ง เป็นโครงการที่ช่วยสนับสนุนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเริ่มต้นศึกษาสกัดแยกเอนไซม์ต่างๆ รวมถึงคัดแยกเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการผลิตเอนไซม์ต่างๆ ออกจากกากจุลินทรีย์เพื่อใช้เป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์สำหรับการย่อยกากจุลินทรีย์และผลิตเอนไซม์ในเวลาเดียวกัน จากการศึกษาพบว่า จุลินทรีย์บางสายพันธ์สามารถย่อยสลายและเปลี่ยนกากจุลินทรีให้เป็นเอนไซม์ไลเปสได้

โครงการที่ประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของแบบผังร่าง (PDF Drawing diagram)

โครงการที่ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านอัลกอลิธึมโดยการเขียนโปรแกรม (Coding) ที่กำหนดให้มีฟังก์ชั่นการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของแบบผังร่างในรูปแบบ PDF และมีการแสดงผลการเปรียบเทียบออกมาในลักษณะของสีที่แสดงถึงความแตกต่างกันตรงจุดที่มีความแตกต่างกัน โครงการนี้ได้นำมาใช้งานในหน่วยงานบริหารโครงการ ทำให้สามารถเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างได้อย่างรวดเร็วแทนการเปรียบเทียบโดยมนุษย์ ลดความผิดพลาด และทำให้แบบผังร่างมีความทันสมัยสอดคล้องกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งในพื้นที่ทำงาน

โครงการ RHCU Pilot Plant (Residue Hydrocracking)

RHCU Pilot Plant เป็นหน่วยจำลองการผลิตของหน่วยกลั่น RHCU ในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบและคัดเลือกสูตรผสมน้ำมันดิบที่เหมาะสมต่อกระบวนการกลั่น รวมถึงตัวแปรต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการของ RHCU Process โดยผลลัพธ์ที่ได้จะนำไปใช้ในการวางแผนการผลิตให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด RHCU Pilot Plant สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตจากการคัดเลือกสูตรผสมน้ำมันดิบที่เหมาะสม ลดปัญญาการตกตะกอนภายในอุปกรณ์ ให้ข้อมูลตัวแปรการผลิต สามารถช่วยคัดเลือกตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม เป็นต้นโดยในปี 2568 จะเริ่มดำเนินการทดสอบน้ำมันดิบตามแผนที่กำหนดไว้
นวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด
การมุ่งเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดของกลุ่มไทยออยล์ ครอบคลุมการดำเนินงานในหลายด้าน เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เชื้อเพลิงและพลังงานทางเลือก (Alternative Fuels) การสำรวจและศึกษาการผลิตพลังงานรูปแบบใหม่ ที่มุ่งลดหรือไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ (Low-Carbon Energies) และการศึกษาและพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีส่วนร่วมในมาตรการป้องกันและควบคุมมลพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในด้านคุณภาพอากาศ ผ่านโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ความพยายามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทยออยล์ในการสร้างสรรค์ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งผลักดันภาคพลังงานไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ตัวอย่างนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของกลุ่มไทยออยล์ มีดังนี้:

เชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuels)

โครงการศึกษาและพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือกมีเป้าหมายเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในหลากหลายภาคส่วน เพื่อสนับสนุนไปสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และสร้างความยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวด้วยการผลิตเชื้อเพลิงที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งนี้การดำเนินงานของบริษัทฯ ประกอบด้วย:

  • โครงการศึกษาและพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel (SAF) projects ผ่านเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ดังต่อไปนี้:
    • การศึกษาเทคโนโลยี Hydrotreated Esters and Fatty Acids (HEFA) ในการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจาก น้ำมันพืชใช้แล้ว, กรดน้ำมันปาล์ม, น้ำเสียจากขบวนการผลิตน้ำมันปาลม์ และไขมันสัตว์ ผ่านการร่วมมือกับกลุ่ม ปตท.
    • การศึกษาเทคโนโลยี Alcohol-to-Jet (ATJ) ในการเปลี่ยนแอลกอฮอล์ที่มาจากแหล่งชีวภาพ (bio-based) เช่น เอทานอล ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงอากาศยานที่สะอาด ซึ่งร่วมมือกับพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของไทยออยล์ ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมการบิน
    • การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตร่วม (Co-Processing) ในการผลิต SAF โดยใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกันกับเทคโนโลยี HEFA ผ่านเข้าสู่หน่วยการผลิตน้ำมันชนิด Hydroprocessing units นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับกฎระเบียบ เทคโนโลยี และการจัดหาวัตถุดิบอย่างน้ำมันพืชใช้แล้ว (UCO: Used Cooking Oil) ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงศึกษาวัตถุดิบของเสียทางเลือกอื่น เช่น POME (Palm Oil Mill Effluent), PFAD (Palm Fatty Acid Distillate) และวัตถุดิบของเสียอื่นๆ
  • โครงการสำรวจพลังงานรูปแบบใหม่ ที่มุ่งลดหรือไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ เช่น ไฮโดรเจนสะอาดและอนุพันธ์อย่างแอมโมเนีย รวมถึงเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำอื่นๆ ที่ผลิตจากไฮโดรเจนสะอาด โดยโครงการนี้ได้ทำการสำรวจและศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับปัจจัยด้านต้นทุน เทคโนโลยี แหล่งการผลิต และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ซึ่งมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการพิจารณาแหล่งพลังงานทางเลือกอื่นๆ เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนด้านการปลูกป่า เพื่อสร้างคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในด้านสิ่งแวดล้อมและช่วยสนับสนุนความยั่งยืนของบริษัทฯ ในระยะยาว

ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based Products)

การลงทุนแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ผ่านการสร้างความร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัพ สร้างความร่วมมือกับบริษัทสตาร์ทอัพในการพัฒนาสารลดแรงตึงผิวชีวภาพ (Biosurfactant) ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และเป็นสารเคมีชีวภาพ ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยทำหน้าที่เป็นทั้งสารทำความสะอาด สารทำให้เป็นอิมัลชัน (Emulsifier) ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไปจนถึงการเกษตรและปศุสัตว์ และเนื่องจากมีคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และยังมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ต่ำ จึงช่วยส่งเสริมผลกระทบเชิงบวกในแง่ความยังยืนระหว่างทั้งต่อกลุ่มไทยออยล์และผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ นอกจากตัวอย่างข้างต้น โครงการ CVC ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจสำหรับสารเคมีชีวภาพและพลาสติกเพิ่มเติม เพื่อขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของไทยออยล์ไปสู่ธุรกิจสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีกด้วย

การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage :CCS)

บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. ในโครงการศึกษาการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอน (CCS) โดยมีเป้าหมายในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากกระบวนการผลิตในปริมาณหลายล้านตันต่อปี และนำไปกักเก็บในชั้นหินใต้ทะเลนอกชายฝั่ง (Offshore) อย่างปลอดภัยและถาวรในชั้นธรณีที่เหมาะสม โดยไม่มีการปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศ โครงการนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ด้านการลดก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมและประเทศ ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ได้แก่ การวิเคราะห์เทคโนโลยี การประสานงานกับภาครัฐในเรื่องกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง การสำรวจแหล่งทุน การศึกษาความต้องการของตลาด และการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Projects)

โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) และเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

ในปี 2024 มีโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานจำนวน 39 โครงการ โดยสามารถลดการใช้พลังงานโดยรวมได้ 494,794 กิกะจูล ซึ่งเท่ากับ 28,985 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 223 ล้านบาท จากงบลงทุนรวมทั้งหมด 189.62 ล้านบาท

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

Vel pretium dolor tellus id purus felis tellus cursus. Amet turpis vel enim aliquet maecenas. Egestas nulla urna suspendisse cursus aliquam mauris facilisis.

การบริหารจัดการลูกค้าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์

การบริหารจัดการลูกค้าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์

แนวทางการบริหารจัดการ

กลุ่มไทยออยล์ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าดั่งครอบครัวเดียวกัน ภายใต้กลยุทธ์ “Partner for Life” ในทุกด้าน ทั้งการเข้ารับผลิตภัณฑ์ การบริการ และการดำเนินการในโครงการต่างๆ ให้กับลูกค้าเพื่อที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และบริการตามกฎหมาย ข้อบังคับ และมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบทางลบต่อลูกค้าและสังคม ภายใต้หลักเกณฑ์การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้าน คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (Environment, Social and Governance: ESG) และนอกเหนือจากสิ่งอื่นใด บริษัทฯ รับฟังเสียงลูกค้าและดำเนินการนำไปพัฒนาปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการอย่างต่อเนื่อง มีการตอบสนองความต้องการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าและสร้างความผูกพันระหว่างกลุ่มไทยออยล์และลูกค้าที่ยั่งยืน

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ยังคงดำเนินการตามแผนงาน Partner for Life เพื่อสนับสนุนการบริการลูกค้าใน 3 ด้าน ดังนี้

Partner for Growth

1. Partner for Growth การสำรวจความพึงพอใจและความผูกพันของลูกค้าประจำปี และนำผลการสำรวจความพึงพอใจและความผูกพันของลูกค้ามาวิเคราะห์และระดมความคิดร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำความคิดมาต่อยอดเพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยโครงการที่มีการนำมาพัฒนาต่อยอด ได้แก่ มีการนำระบบดิจิทัลมาอำนวยความสะดวกในกระบวนการทางด้านการเงิน การจัดกิจกรรมร่วมสนุกกับลูกค้าผ่านทาง Social Media ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ มีการวัดผลความพึงพอใจลูกค้าในแต่ละกิจกรรมที่เข้าร่วม เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงในกิจกรรมต่อๆ ไป

Partner for Knowledge

2. Partner for Knowledge การให้ความรู้ทางวิชาการ และสนับสนุนข้อมูลต่างๆ (Knowledge Sharing) ทั้งในด้านเทคนิค ด้านการปฏิบัติการ ด้านตลาด ด้านการเงิน โดยได้จัดอบรมให้แก่ลูกค้าในหัวข้อ Fundamental of Refinery Process และหัวข้อ Business Overview & Refinery Overview เป็นต้น

Partner for Service

3. Partner for Service 
การดำเนินงานด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง (Customer Relations Management: CRM) โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้

1. ด้านปฏิบัติการ (Operation) ดำเนินการยกระดับการพัฒนาประสิทธิภาพในการให้บริการและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ได้ดำเนินการพัฒนากระบวนการขึ้นทะเบียนลูกค้าใหม่ ให้มีประสิทธิภาพ โดยมีการนำระบบดิจิทัลมาใช้ เพื่อให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ อีกทั้งได้มีการพัฒนาระบบ Voice of Customer (VOC) ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น และได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รวดเร็ว นอกจากนี้มีการจัดทำมาตรฐานด้านผลิตภัณฑ์และการให้บริการในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทร่วมกันกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (Service Level Agreement: SLA) ได้แก่ ด้านงานขาย ด้านคุณภาพ ด้านปฏิบัติการ ด้านแผนการจัดส่ง ด้านบัญชี ด้านสนับสนุนการขาย ด้านดิจิทัล และด้านบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ตั้งแต่รับคำสั่งซื้อ การบริหารจัดการให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ครบถ้วน ถูกต้องตามเวลาที่กำหนด โดยทุกหน่วยงานปฏิบัติตามข้อตกลงมาตรฐานการให้บริการของแต่ละหน่วยงานได้ร้อยละ 100 อีกทั้งในไตรมาสที่ 4 ของปี บริษัทฯ ได้เปิดบริการหน่วยสูบจ่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทางรถเพิ่มขึ้น อีก 2 ช่องจ่าย (Gentry) เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้ารับผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้นและช่วยลดเวลาในการรอเรียกรถเข้ารับน้ำมันของลูกค้า และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
2. ด้านวิเคราะห์ (Analytic) ได้มีการนำผลการสำรวจความพึงพอใจและความผูกพันของลูกค้าประจำปี มาวิเคราะห์และระดมความคิดร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำความคิดมาต่อยอดเพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์และการบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยโครงการที่มีการนำมาพัฒนาต่อยอด ได้แก่ มีการนำระบบดิจิทัลมาอำนวยความสะดวกในกระบวนการทางด้านการเงิน การจัดกิจกรรมร่วมสนุกกับลูกค้าผ่านทาง Social Media ต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้มีการวัดผลความพึงพอใจลูกค้าในแต่ละกิจกรรมที่เข้าร่วม เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงในกิจกรรมต่อๆ ไป
3. ด้านความร่วมมือร่วมกัน (Collaboration) ดำเนินการแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับตลาดปิโตรเลียมให้กับลูกค้า รวมถึงร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเข้ารับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทางรถ
4. ด้านการจัดเก็บฐานข้อมูล (Customer Data Platform) ดำเนินการภายใต้ระบบ Platform ที่เป็น มาตรฐานสากล สำหรับจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าเพื่อนำมาใช้ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

โครงการที่โดดเด่น

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำโครงการลูกค้าสัมพันธ์ภายในกลยุทฑ์ “Partner for Life” เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า ได้แก่

ปี 2567

ผลการดำเนินงาน

จากการดำเนินงานด้านต่างๆ ครอบคลุมทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการให้บริการส่งผลให้การประเมินความผูกพันของลูกค้าต่อกลุ่มไทยออยล์ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

หมายเหตุ: 
(1) ความผูกพันของลูกค้ากลุ่มไทยออยล์ ประกอบด้วย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) (TLB) และบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด (TPX) ดำเนินการสำรวจโดยบริษัทภายนอก (Third Party Company) ที่ให้บริการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า
(2) ความพึงพอใจของลูกค้าบริษัท ท็อป โซเว้นท์ จำกัด (บริษัท ท็อปเน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด) ปี 2564-2565 คะแนนเต็ม 5.0 ดำเนินการสำรวจโดย บริษัท ท็อป โซเว้นท์ จำกัด
(3) ความผูกพันของลูกค้า บริษัท ท็อปเน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ปี 2566-2567 คะแนนเต็มร้อยละ 100 ดำเนินการสำรวจโดยบริษัทภายนอก (Third Party Company) ที่ให้บริการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า

Generating New Actionable Ideas through Change Agent SME
Idea Facilitation & LO Inspirer Workshop

การจัดกิจกรรม Workshop การพัฒนา Change Agent โดยคัดเลือกตัวแทนหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือก โดยกลุ่มของ Change Agent จะได้รับการพัฒนา ให้ความรู้ ทักษะ และเครื่องมือ เพื่อใช้ในการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมและคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ภายในหน่วยงานตนเอง

กิจกรรม Innovation Idea Challenge

กิจกรรม Innovation Roadshow

กิจกรรม Innovation Failure Challenge

กิจกรรม Innovation and Learning Day 2024 ประจำปี 2567

TOP Innovation E-newsletter

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e – Mail) รายสัปดาห์ ส่งให้แก่พนักงานทุกคนในกลุ่มไทยออยล์ โดยมีเนื้อหาที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบ และกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เพื่อบ่มเพาะคุณสมบัติต่างๆ ที่นวัตกรพึงมีและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน รวมถึงการให้ข้อมูลเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยในปี 2567 มีการเผยแพร่บทความ TOP Innovation e-Newsletter ทั้งหมด 39 ฉบับ มียอดผู้อ่านบทความรวมกว่า 24,707 ครั้ง โดยได้คะแนนความพึงพอใจจากผู้อ่านอยู่ในระดับดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

TOP BCG Updates

เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบ e – Mail รายเดือนเพื่อเพิ่มความรู้ทางด้าน BCG ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ประกอบไปด้วยนโยบายการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจ 3 ระบบของรัฐบาลไทย ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้า พลังงานไฮโดรเจน และนวัตกรรมในการลดโลกร้อนต่าง ๆ โดยในปี 2567 ภาพรวมความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก (97 จาก 100 คะแนนเต็ม)

Innovation Talk

เป็นกิจกรรมที่มีการเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมมาให้ความรู้กับพนักงาน เช่น อาจารย์ธงชัย โรจน์กังสดาล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด, คุณณัฐภัทร ธเนศวรกุล ที่ปรึกษาด้านการวัดระดับนวัตกรรมองค์กร จาก บริษัท ไรส์ แอคเซล จำกัด และคุณซีเค เจิง CEO ของ บริษัท ฟาสต์เวิร์ค เทคโนโลยีส์ จำกัด เป็นต้น โดยในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจำนวนพนักงานที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้มีเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 15 และความพึงพอใจโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 93 เป็น 94 จาก 100 คะแนนเต็ม และในแต่ละครั้งมีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรมมาก ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

โครงการ Thaioil Innovation Awards ประจำปี 2567

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity”

การจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผ่านโครงการ “Cultural Activity” ด้วยรูปแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ของชาติ รวมถึงงานศิลปกรรม ร่วมกับลูกค้า ณ พิพิทธภัณฑ์เจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

การจัดกิจกรรม "Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567

การจัดกิจกรรม “Safety and Happy Hours” ให้กับพนักงานขับรถ ประจำปี 2567 เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการเข้ารับผลิตภัณฑ์ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถานีจ่ายน้ำมัน ผู้ประสานงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ห้องตั๋วและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ อาทิ Fundamental of Refinery Process และ Business Overview & Refinery Overview เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของภาพรวมธุรกิจของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และสถานการณ์ตลาดมากยิ่งขึ้น

การจัดกิจกรรมมอบองค์ความรู้ให้กับลูกค้าทั้งในรูปแบบ Online และ On-Site ในหัวข้อต่างๆ

การจัดกิจกรรมสันทนาการสำหรับลูกค้ากลุ่มต่างๆ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีของลูกค้า

นักลงทุนสัมพันธ์

ข่าวสารและประกาศ

ติดต่อเรา

ร่วมงานกับเรา

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การปลูกฝังเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ตั้งแต่เริ่มทำงานวันแรก โดยผนวกเนื้อหาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปฐมนิเทศสำหรับพนักงานใหม่พร้อมกับส่งมอบคู่มือ CG ผ่านระบบ CG Reporting ส่งผลให้พนักงานใหม่ได้รับการสื่อสารข้อมูลและฝึกอบรม ครบร้อยละ 100 

CEO Townhall และ Management Meeting

การจัดกิจกรรมการสื่อสารโดย CEO ถึงพนักงานทั่วทั้งองค์กร เพื่อเน้นย้ำทิศทาง กลยุทธ์ รวมถึงแผนและผลการดำเนินงาน เพื่อให้พนักงานเกิดความเข้าใจและตระหนักถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารระดับสูงในการนำการเปลี่ยนแปลงลงมาสู่องค์กรและพนักงานทุกคน รวมถึงการรายงานความคืบหน้าของโครงการ Innovation Culture Awareness ในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นผู้บริหารระดับสูงสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมให้แก่พนักงานอย่างต่อเนื่อง

Building Innovation Culture Awareness through Top
Management Workshop (Management Outing Workshop)

การจัดกิจกรรม Workshop สำหรับผู้บริหาร เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การสร้าง Innovation Culture Awareness ให้กับพนักงานในสายงาน/ ฝ่ายของตนเอง ผ่านพฤติกรรมหลัก “Lead to Innovation Culture” รวมถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากรภายนอกถึงแนวคิดการสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร และการฝึกปฏิบัติการใช้พฤติกรรม i-LEAD as a Role Model

โครงการ Teach for Thailand

วัตถุประสงค์

เพื่อพัฒนาครูผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่มีศักยภาพปฏิบัติหน้าที่ในฐานะครูผู้ช่วยสอนนักเรียนในระดับชั้นมัธยมต้น

ประเภทโครงการ

โครงการ Teach for Thailand

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนที่จะเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ซึ่งในปี 2567 บริษัทฯ ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่ครูผู้สอนจำนวน 2 คน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้ช่วยสอนสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 

3 ที่โรงเรียนวัดมโนรม อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่ตั้งใกล้กับโรงกลั่น เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งมีผลการประเมินการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจ ดังนี้
1. นักเรียนในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เข้ารับการอบรมทั้งสิ้น 489 คนในปีการศึกษา 2567
2. พัฒนาการด้านวิชาการ และคุณลักษณะนิสัย และทักษะที่จำเป็นของนักเรียนปรับเพิ่มขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ย Post-test อยู่ที่ 28.51 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเฉลี่ย Pre-test ในภาคเรียนที่ 1 ที่ 27.57 คะแนน และพบว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างและพัฒนาคุณลักษณะนิสัยของนักเรียน ทั้งด้านความพยายาม กรอบความคิดแบบเติบโต และการเป็นเจ้าของการเรียนรู้ เช่นเดียวกับการสร้างและพัฒนาทักษะที่จำเป็นของนักเรียน ซึ่งประกอบด้วยการคิดวิเคราะห์ ความร่วมมือ และการตระหนักรู้ในตนเอง
3. ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงนำเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการสอน เช่น วีดิทัศน์ บอร์ดเกม โปรแกรมออนไลน์ เป็นต้น ส่งผลให้นักเรียนมีพัฒนาการและมีทัศนคติที่ดีต่อสาขาวิชาที่เรียนมากขึ้น โดยสามารถตอบคำถาม จำแนกตัวอย่าง และทำงานร่วมกันเป็นทีมกับเพื่อนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี
4. นักเรียนส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและพัฒนาการในการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง
5. ผู้อำนวยการและบุคลากรในโรงเรียนมีความพึงพอใจต่อครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยมีคะแนนรวมความพึงพอใจ 9.1 คะแนนจาก 10 คะแนน และเล็งเห็นว่า ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความรู้ ความสามารถ และลักษณะนิสัยที่เหมาะสมในการปฏิบัติงานในบริบทที่ท้าทาย ร้อยละ 92 นอกจากนั้น ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนกันอย่างสม่ำเสมอ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นำในภาคการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศผ่านการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และวางแผนพัฒนาโรงเรียนร่วมกับผู้บริหารโรงเรียน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมด้านการศึกษา (PTT Group Model School) และโครงการสานอนาคตการศึกษา (CONNEXT ED)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินกิจกรรม ภายใต้โครงการ PTT Group Model School และ CONNEXT ED ในปี 2567 ดังนี้
1. โครงการเตรียมความพร้อมสู่ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) พื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การให้ความรู้แก่เยาวชนให้เข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things) และสนับสนุนให้เยาวชนเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาต่อยอดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ IoT ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศในอนาคต โดยมีโรงเรียนภายใต้โครงการ CONNEXT ED ของกลุ่ม ปตท. เข้าร่วมกิจกรรม 2 แห่ง และมีครูผู้สอน 2 คน และนักเรียน 6 คน เข้าร่วมโครงการฯ
2. โครงการจิตอาสากลุ่มไทยออยล์ โดยนำพนักงานจิตอาสาไปบรรยายให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และคลินิกฟุตบอล ฟุตซอล เทเบิลเทนนิส และวอลเลย์บอล ให้แก่นักเรียนในชุมชนรอบโรงกลั่น

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวของประเทศไทย และเป็นการสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเพิ่มแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ชุมชนในพื้นที่รอบแปลงปลูกป่า

ประเภทโครงการ

โครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการปลูกป่า เพื่อประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต จำนวน 8,656.22 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น
1.  การปลูกป่า จำนวน 8,300 ไร่ในจังหวัดแพร่ ร่วมกับกรมป่าไม้
2. การปลูกป่าชายเลน จำนวน 356.22 ไร่ในจังหวัดตรังและจังหวัดชลบุรี ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ซึ่งคาดว่า จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 88,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดระยะเวลาโครงการ 10 ปี และช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพจากการคัดเลือกชนิดไม้พื้นถิ่นเข้ามาปลูกเพิ่มเติมในพื้นที่แปลงปลูกป่า

ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้สนับสนุนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน 4 แห่ง เพื่อดำเนินการปลูกและบำรุงรักษาป่า ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งยังให้การสนับสนุนองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ผืนป่า นอกจากนั้น ยังมีการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการต่อยอดอาชีพ ตลอดจนให้การสนับสนุนด้านการศึกษา ด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

วัตถุประสงค์

เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงาน และสิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงานและสร้างนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในองค์กร

ประเภทโครงการ

โครงการ Thaioil CE WE GO รณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน 

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้ โครงการ Thaioil CE WE GO ในปี 2567 ดังนี้

1. จัดอบรมการฝึกอบรมสำนักงานสีเขียว (Green Office) สำหรับพื้นที่อาคารออดิทอเรียม และศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน จำนวน 2 ครั้ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนโครงการสำนักงานสีเขียว (Green Office) กับกรมควบคุมมลพิษ ในปี 2568 ให้กับศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน และอาคารออดิทอเรียม โรงกลั่นไทยออยล์
2. จัดกิจกรรมนำผู้แทนครัวเรือนนำร่อง 10 ครัวเรือนและคณะกรรมการชุมชนบ้านนาเก่าไปเยี่ยมชมการดำเนินโครงการชุมชนต้นแบบการจัดการขยะในจังหวัดระยอง

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) และสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้แก่ชุมชนและสังคม

ประเภทโครงการ

โครงการไทยออยล์ สร้างเยาวชนรักษ์โลก (Thaioil CE School Model)

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์จัดกิจกรรมสร้างเสริมองค์ความรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการของเสียและการจัดการระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้แก่นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนบุญจิตวิทยา โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 และโรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 (มูลนิธิไต้ล้ง – เช็ง พรประภา) จังหวัดชลบุรี ผ่านกิจกรรมการจัดการของเสีย 4 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ การคัดแยกขยะ การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร การรีไซเคิลน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว และการแปลงขยะเป็นรายได้ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2565 – เดือนตุลาคม 2567 พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ มีปริมาณขยะรีไซเคิลรวม 12,240.24 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 27,725 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนั้น ยังมีการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ และนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในการทำกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย

โครงการ "Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความตระหนักถึงการคัดแยกขยะและรีไซเคิลให้แก่นักเรียน เพื่อให้เยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อม และ สนับสนุนการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณขยะในโรงเรียนและสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืน

ประเภทโครงการ

โครงการ “Waste To Value” เปลี่ยนขยะให้มีคุณค่า

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ต่อยอดจากกิจกรรม “Thaioil Run For the Green Future 2024” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อลดขยะพลาสติกในโรงเรียน และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน โดยบริษัทฯได้ส่งมอบอุปกรณ์คัดแยกขวดน้ำพลาสติกให้โรงเรียนในพื้นที่แหลมฉบังจำนวน 8 แห่ง จากนั้น โรงเรียนจะส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคัดแยกและรีไซเคิลขยะพลาสติก เพื่อนำส่งให้บริษัทฯ นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกต้อง ซึ่งนักเรียนสามารถนำขวดพลาสติกดังกล่าวมาแลกเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่เป็นประโยชน์ เช่น ถุงเท้า อุปกรณ์การเรียน ชุดกีฬา อุปกรณ์ทำความสะอาด เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองและโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

วัตถุประสงค์

เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบของขยะพลาสติกที่มีต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการลด ละ เลิกการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียว

ประเภทโครงการ

โครงการเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม TOP GREEN X ชุบชีวิตใหม่ให้น้องขยะ

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จัดกิจกรรมแปรรูปขยะเป็นไม้กวาด ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะ ลักษณะของขยะแต่ละประเภท และร่วมประดิษฐ์ไม้กวาดจากขวดพลาสติก เพื่อสร้างเสริมจิตสำนึกอันดีในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชน โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 70 คน

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

วัตถุประสงค์

เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์

ประเภทโครงการ

โครงการสนับสนุนกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ กลุ่มประมง

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ร่วมสนับสนุนการปล่อยพันธุ์สัตว์ทะเลของกลุ่มประมงที่อยู่อาศัยในชุมชนบ้านอ่าวอุดม เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณสัตว์ทะเลและความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเล เพื่อสร้างสมดุลทางทะเลในเขตอ่าวอุดม โดยในปี 2567 บริษัทฯ ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ อาทิ พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์กุ้งขาว ลูกปูม้า หมึก ในเทศกาลที่สำคัญต่างๆ พร้อมทั้งร่วมเก็บขยะบริเวณชายหาดชุมชนติดชายฝั่งทะเลอีกด้วย

โครงการด้านการศึกษา

วัตถุประสงค์

เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา และสนับสนุนเยาวชนให้มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ประเภทโครงการ

โครงการด้านการศึกษา

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาที่มีความประพฤติดี ขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 252 ทุน และกองทุนกลุ่มไทยออยล์เพื่อสถาบันการศึกษาให้แก่สถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครแหลมฉบังและอำเภอศรีราชา จำนวน 11 กองทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,900,000 บาท ซึ่งเป็นกิจกรรมที่กลุ่มไทยออยล์มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชน ด้วยการสร้างอาชีพให้กับประชาชนทั่วไปในพื้นที่ศรีราชา ณ ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชน

ประเภทโครงการ

โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนในปี 2567 ดังนี้

1. ร่วมมือกับคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้ได้มาตรฐาน และร่วมกิจกรรมเปิดบ้านวิชาการกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อจัดนิทรรศการแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์เทียนหอม โดยมุ่งเน้นการนำเสนอขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงศักยภาพทางด้านนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
2. จัดหลักสูตรทำเทียนหอมสำหรับจัดชุดของชำร่วย โดยใช้สแลคแว็กซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่มไทยออยล์ มาเป็นวัตถุดิบ นอกจากนั้น ยังมีการจัดหลักสูตรผู้ประกอบการยุค 2024 ประกอบด้วยหลักสูตรทำเหรียญโปรยทาน และหลักสูตรสลายเศษด้วยถัง สลายมันด้วยฟอง ซึ่งเป็นการผลิตน้ำยาล้างและทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่น ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คน

โครงการเดิน - วิ่ง 1 แสนกิโล

วัตถุประสงค์

เพื่อให้ชุมชนออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่ง เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และได้รับองค์ความรู้ด้านสุขภาพใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองและครอบครัว

ประเภทโครงการ

โครงการเดิน – วิ่ง 1 แสนกิโล

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์เชิญชวนประชาชนในชุมชนรอบโรงกลั่นมาออกกำลังกายด้วยการเดิน – วิ่งและร่วมกันสะสมระยะทาง โดยการบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน “นับก้าว” ให้ได้ระยะทางรวม 100,000 กิโลเมตร โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 175 คน และมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลที่ศูนย์สุขภาพและการเรียนรู้กลุ่มไทยออยล์เพื่อชุมชนรวม 2 ครั้ง

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

วัตถุประสงค์

เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากของนักเรียน

ประเภทโครงการ

โรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพรอบกลุ่มไทยออยล์

การดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ให้บริการทันตกรรม ตรวจสุขภาพช่องปาก อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน เคลือบฟลูออไรซ์ ขูดหินปูน และส่งเสริมป้องกันฟันผุ เพื่อส่งเสริมสุขภาพในช่องปากให้แก่นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 จำนวน 4,520 รายที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่ง

โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

วัตถุประสงค์

เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ร่วมกับกลุ่ม ปตท

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในการเตรียมความช่วยเหลือ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศ

กรอบการดําเนินงาน

1. ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ
2.ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ
3. ประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่นอกเหนือจาก พื้นที่ปฏิบัติการของบริษัทฯ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์ได้ร่วมกับกลุ่ม ปตท. บรรจุและส่งมอบถุงยังชีพกว่า 20,800 ถุง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และยารักษาโรคที่จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดแพร่ น่าน สุโขทัย พะเยา พิษณุโลก หนองคาย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส

โครงการ “คุณริเริ่ม...เราเติมเต็ม ปี 4”

วัตถุประสงค์

ส่งเสริมค่านิยมให้พนักงานดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยจิตอาสาและส่งเสริมภาพลักษณ์การช่วยเหลือสังคม

ความเป็นมาโครงการ

พนักงานถือเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งมีการสั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ขณะเดียวกัน ก็มีค่านิยม “วัฒนธรรมจิตอาสา” ที่ยึดถือปฏิบัติร่วมกันมาอย่างยาวนาน จึงก่อให้เกิดโครงการจิตอาสา “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 เนื่องในวาระที่ไทยออยล์กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 ของการก่อตั้ง และมีการดำเนินการโครงการฯ ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 เพื่อสานต่อ “วัฒนธรรมจิตอาสา” ขององค์กร

กรอบการดำเนินงาน

1. ประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ก.ค. 2567
2. เปิดโอกาสให้พนักงานดำเนินโครงการฯ ในช่วงระหว่างเดือน มี.ค. – ธ.ค. 2567
3. บริษัทฯ สนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินกิจกรรมจิตอาสา 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน

ผลการดำเนินงานในปี 2567

กลุ่มไทยออยล์มุ่งมั่นที่จะกระตุ้นและปลูกฝังให้พนักงานมีจิตอาสาตามค่านิยมองค์กรหัวข้อ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Social Responsibility) จึงได้ดำเนินโครงการ “คุณริเริ่ม…เราเติมเต็ม” เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริหาร พนักงานและพนักงานผู้รับเหมาเข้าร่วมกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยในปี 2567 มีการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Team Spirit+” โดยให้ผู้บริหารระดับสูงเชิญชวนพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาภายในสายงานร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแรงกายแรงใจของตนเอง ซึ่งกลุ่มไทยออยล์จะสนับสนุนงบประมาณจำนวน 30,000 – 100,000 บาทต่อสายงาน เพื่อใช้เป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ในการดำเนินงาน โดยมีพนักงานเข้าร่วมงานทั้งหมด 30 ฝ่ายงาน ภายใต้งบประมาณรวม 1,000,000 บาท โดยนำงบประมาณไปใช้จัดกิจกรรม CSR ให้แก่โรงเรียน มูลนิธิการกุศล ชุมชน และอื่นๆ

โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา (Sustainable Energy for Healthcare and Education)

วัตถุประสงค์

เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้การบริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์นำความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม รวมถึงประสบการณ์ด้านการจัดการพลังงานมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษา มาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาเข้าถึงการใช้พลังงานทางเลือก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า และนำผลประหยัดมาต่อยอดโครงการเพื่อสังคม ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

กรอบการดําเนินงาน

1. ศึกษาศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่เป้าหมาย
2. จัดทำรายงานความเป็นไปได้ (Feasibility) และความคุ้มค่าทางการลงทุน ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ร่วมกับที่ปรึกษาโครงการฯ
3. ขออนุมัติการดำเนินโครงการและงบประมาณ
4. คัดเลือกผู้รับเหมาและดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขและสถานศึกษาที่ผ่านการประเมิน
5. ส่งมอบโครงการฯ
6. ติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง พร้อมขอใบอนุญาต (ในกรณีที่เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ในปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 3 แห่ง และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3 แห่งในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 94 กิโลวัตต์ ซึ่งสร้างผลประหยัดเป็นมูลค่ารวม 0.9 ล้านบาทต่อปี โดยนำผลประหยัดที่ได้จากค่ากระแสไฟฟ้าที่ลดลงไปจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ พัฒนาระบบงานบริการสุขภาพผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs รวมทั้งสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่า 51 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

โครงการดำเนินการเกี่ยวกับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล

วัตถุประสงค์

เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ

ความเป็นมาของโครงการ

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SBM-2) บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพื่อลดผลกระทบให้แก่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน รวมถึงฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดตั้งคณะทำงานบริหารข้อร้องเรียน เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเดือดร้อน
2. ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบ
3. กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาช่วยเหลือตามกรอบแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรม และดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ
4. จัดตั้งคณะทำงานการฟื้นฟู เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพ

ผลการดําเนินงานในปี 2567

ภายหลังจากการปิดรับคำร้องของผู้ได้รับผลกระทบ ปรากฏว่า มีผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 905 ราย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วกว่าร้อยละ 80 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 58 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานการฟื้นฟูขึ้น เพื่อจัดทำแผนและขอบเขตการฟื้นฟูธรรมชาติ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงานราชการ ผู้ได้รับผลกระทบ องค์กรอิสระ และ NGO กลุ่มต่างๆ รวมถึงการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ อยู่ในระหว่างการวางแผนงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

โครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้เยาวชนได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพแข็งแรง เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในอนาคต
2. ส่งเสริมให้เยาวชนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ความเป็นมาของโครงการ

กลุ่มไทยออยล์ดำเนินโครงการสร้างเด็กแหลมฉบังเป็นแชมป์กระโดดเชือก ได้ร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชชูปถัมภ์ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังทั้ง 8 โรงเรียนออกกำลังกายด้วยกีฬากระโดดเชือก มาตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้ ภายหลังได้เข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานกับสมาคมกีฬาจัมพ์โร้ปไทย เพื่อสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและเทศบาลนครแหลมฉบัง

กรอบการดําเนินงาน

1. จัดประชุมร่วมกับผู้อำนวยการและคุณครูผู้ฝึกสอนกีฬาพลศึกษาของโรงเรียนรอบโรงกลั่นทั้ง 8 แห่งในเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง ประกอบด้วยโรงเรียนวัดใหม่เนินพยอม โรงเรียนวัดมโนรม โรงเรียนวัดแหลมฉบัง โรงเรียนบ้านชากยายจีน โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 2 โรงเรียนวัดบ้านนา (ฟินวิทยาคม) และโรงเรียนบุญจิตวิทยา
2. วางแผนโครงการ พร้อมขออนุมัติงบประมาณในการดำเนินการ
3. ดำเนินการจัดค่ายฝึกทักษะพัฒนาศักยภาพนักกีฬากระโดดเชือก เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
4. สร้างนักกีฬาหน้าใหม่ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก ซึ่งช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับเขตเทศบาลนครแหลมฉบัง

ผลการดําเนินงานในปี 2567

1. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทานประเภทมือใหม่ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ณ ศูนย์กีฬาประชานิเวศน์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับเหรียญทองจำนวน 4 เหรียญ เหรียญเงินจำนวน 10 เหรียญ และเหรียญทองแดงจำนวน 4 เหรียญ นอกจากนั้น โรงเรียนบุญจิตวิทยายังได้รับถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จำนวน 4 ถ้วย และมีคะแนนรวมสูงสุดเป็นอันดับที่ 2
2. โครงการพัฒนาทักษะนักกีฬาสู่แชมป์กระโดดเชือก ประจำปี 2567 เพื่อคัดเลือกและฝึกซ้อมนักกีฬากระโดดเชือกจากโรงเรียนรอบโรงกลั่น 8 แห่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานระดับประเทศ
3. นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือกชิงถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 15 ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 ณ สนามยิมเนเซียม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสนับสนุนการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยกิจกรรมนี้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 60 คน
4. นักกีฬากระโดดเชือกแหลมฉบังได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬากระโดดเชือก Jump Rope China Open 2024 ณ เมืองหูเป่ย (Huaibei) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งนักกีฬาตัวแทนชาวแหลมฉบังได้คว้าเหรียญทองมาได้ 2 รายการ เหรียญเงิน 1 รายการ และเหรียญทองแดง 4 รายการ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและเทศบาลนครแหลมฉบัง

การรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

  •  การดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังติดตามและแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 ไม่พบผู้ติดเชื้อ เน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะที่ 1 พบผู้ต้องสงสัยหรือผู้ติดเชื้อในกลุ่มไทยออยล์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย และระยะที่ 2 พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มไทยออยล์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการกอบกู้สถานการณ์และการฟื้นฟู ต้องเปิดศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะของพนักงานและผู้รับเหมา ผ่านศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัยที่มีความพร้อมทั้งภาคทฤษฎี (Theory) และภาคปฏิบัติ (Practice) และประเมินความรู้ความสามารถของพนักงานและผู้รับเหมาที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตามระบบใบอนุญาตในการทำงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตตามบทบาทหน้าที่ ผ่านกระบวนการ Competency Assurance System
  • การยกระดับวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน ด้วย Behavior Based Safety (BBS) โดยได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร BBS ให้กับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย (Train for the Trainer) เพื่อนำไปถ่ายทอดและเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาสำหรับใช้สังเกตพฤติกรรมในการทำงานและสั่งหยุดงานเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัย
  • การจัดให้การฝึกอบรมหลักสูตรการขออนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System and Clearance Certificate Signatory) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในระบบใบอนุญาตในการทำงาน
  • การจัดโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากการทำงาน (30-60-90 Days with No Harm No Leak) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นให้พนักงานและผู้รับเหมาเกิดความตระหนักด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมาย คือ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Treatment Case: MTC)
  • การจัดกิจกรรม Thaioil Group QSHE Day ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยฯ ของพนักงานและผู้รับเหมา โดยการมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นด้าน QSHE ประจำปี 2566 และจัดบูธนิทรรศการ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯ ให้กับพนักงานและผู้รับเหมา
  • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ (12 Life Saving Rules) โดยนำวิถีอันตราย (Line of Fire) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎความปลอดภัยพื้นฐาน ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซของ IOGP
  • การรณรงค์และเสริมสร้างการตระหนักถึงอันตราย ได้แก่ วิถีอันตราย และการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการเขียนรายงาน Potential Incident Report (PIR) โดยมุ่งเน้นถึงการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และสภาพการณ์ที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Unsafe Condition) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
  • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในการทำงานของผู้รับเหมา (Contractor Training Matrix) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน 
  • การจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานและผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ รวมถึงรู้และเข้าใจมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในกิจกรรมการทำงาน เช่น หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (Basic Safety in Refinery) หลักสูตรดับเพลิงขั้นต้น (Basic Firefighting) หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศ (Confined Space) และหลักสูตรการปฐมพยาบาล (First Aid) เป็นต้น
  • การอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยเฉพาะ สำหรับพนักงานและผู้รับเหมา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสอดคล้องตามข้อกำหนด เช่น หลักสูตรผู้อนุมัติใบรับรองความปลอดภัย (Authorized Engineer (AE)/ Authorized Gas Safety Inspector (AGSI) Course) หลักสูตรผู้อนุมัติใบอนุญาตทำงาน (Clearance Certificate Signatory) หลักสูตรผู้ตรวจวัดแก๊ส (Authorized Gas Tester) หลักสูตรความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น
  • กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรุกโดยการยกระดับกิจกรรม Management Walk and Talk เป็น GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินกิจกรรม QSHE Roll Out อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการเข้าถึง รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมจิตสำนึกด้านคุณภาพความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงานหรือภายในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ณ ขณะนั้น อีกทั้ง กลุ่มไทยออยล์ยังนำระบบการจัดการต่างๆ ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และมีการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นให้ผู้บริหารได้รับทราบและร่วมหาแนวทางการแก้ไขเป็นประจำ รวมถึงจะมีกระบวนการทบทวน (Management Review) เป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงและจัดทำแผนงานประจำปีต่อไป พร้อมทั้งมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต่อไป

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • การทบทวนระบบใบอนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System) โดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนหรือประกายไฟ (Hot Work) รวมถึงรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • จากการประเมินระดับวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2565 ผลการประเมินที่ 4.16 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5.00 คะแนน ซึ่งนำมาด้วยแผนงานพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้เพื่อให้พนักงานและผู้รับเหมามีความตระหนักและให้องค์กรก้าวเข้าสู่องค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ
  • การตรวจสอบระบบใบอนุญาต (Permit to Work Inspection) โดยพนักงานเจ้าของพื้นที่ (Area Operation) และทีมตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Audit Team) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำการ์ดมอบอำนาจสิทธิในการสั่งหยุดงาน (Stop Work Authority) ให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาทุกคน เมื่อพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานมีสภาพการณ์หรือสภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อตนเองและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพย์สินของกลุ่มไทยออยล์ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นและเน้นย้ำถึงการป้องกันและแก้ไขก่อนเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์
  • การประเมินดัชนีชี้วัดสมรรถนะด้านสุขภาพ (Health Performance Indicators) ตามหลักเกณฑ์และแนวทางของ International Association of Oil and Gas Producers (IOGP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดยได้รับคะแนนการประเมินในปี 2566 ที่ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4.00 คะแนน พร้อมจัดทำแผนงานพัฒนาและยกระดับระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของ IOGP ต่อไป
  • การยกระดับการบริหารจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management) ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มีการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยประจำปีของบริษัทผู้รับเหมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party) ทั้งในส่วนของระบบบริหารจัดการและการปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับใช้ในการแบ่งระดับผู้รับเหมา (Contractor Banding) เป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กรณีที่บริษัทผู้รับเหมา มีผลการประเมินฯ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (สีเหลือง หรือ สีแดง) จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมานำเสนอแผนงานและทำการปรับปรุงแก้ไขประเด็นปัญหาให้สอดคล้องตามข้อกำหนดและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเอกสารการประเมินผลด้านเทคนิคของความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการประมูลผู้รับเหมา (Contract SSHE Bidding and Close Out Evaluation)
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติงานที่ปลอดภัย สำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ งานยกของหนักโดยปั้นจั่น งานนั่งร้าน งานที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในเขตพื้นที่โรงกลั่น เป็นต้น และทำการฝึกอบรมและสื่อสารให้กับพนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติหรือฉุกเฉินสำหรับผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้อง ด้วยระบบ SMS เพื่อให้ผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินทราบถึงเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาสนับสนุนการระงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติกรณีเกิดฝนฟ้าคะนองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้พนักงานทราบและดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเป็นการแจ้งเตือนเพื่อเตรียมความพร้อมของทีมระงับเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดไฟไหม้ที่บริเวณขอบถังน้ำมันชนิดหลังคาลอย (Rim Seal Fire)
  • การทบทวนแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า (Pre Incident Plan) ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานสากล รวมถึงการฝึกซ้อมตามแผนที่กำหนด เพื่อเป็นการซักซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า ระดับที่ 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับหน่วยผลิตใหม่ของโครงการ CFP
  • การทบทวนคู่มือการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤติ (Emergency and Crisis Management Manual) และการวางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชุน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต

​การประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

  • การทบทวนการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงและอันตรายที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกัน และมีการตรวจติดตามประสิทธิผลของมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบความปลอดภัย การวิเคราะห์ รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยพนักงานและผู้รับเหมา ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีการทบทวนและตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำทุกเดือน
  • การประเมินความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง และทบทวนมาตรการควบคุมและป้องกันด้านความปลอดภัย โดยกำหนดแผนและมาตรการความมั่นคงและความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ (Defense in Depth) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารเคมี โดยมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในระดับต่างๆ และต่อยอดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินไปสู่ระดับการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ร่วมกับหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ยังคงบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงร้ายแรงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
  • การทบทวนบัญชีอุบัติเหตุที่มีศักยภาพก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง (Major Accident Event) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และการทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินและภาวะวิกฤต รวมถึงแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) ตลอดจนปรับปรุงศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน (Emergency Control Center) ให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทบทวนวิธีปฏิบัติการบริหารจัดการอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ให้ครอบคลุมอุบัติการณ์ทุกประเภท ได้แก่ การบาดเจ็บจากการทำงาน โรคหรือการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อื่นๆ รวมถึงอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต มีการประเมินระดับความรุนแรงและความเสี่ยง โดยใช้ตารางการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) เพื่อกำหนดทีมสอบสวนฯ และวิธีการสอบสวนฯ ที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงและความเสี่ยงของอุบัติการณ์นั้น และต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

การขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx)

  • การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx) เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก และปรับเป้าหมายความปลอดภัยระดับองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว คือ No Harm, No Leak, Goal Zero
  • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินและวิกฤตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแผนกลยุทธ์และเป้าหมายระดับองค์กรใหม่
  • การมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงนำเสนอกรณีศึกษาและประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
  • การเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้งในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ การหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต และงานโครงการก่อสร้าง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนับสนุนความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีด้านภาวะผู้นำความปลอดภัย

SMILE Activity

Working with the right to health

Working with the right to health: กลุ่มไทยออยล์บริหารจัดการและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และมีมาตรการการดูแลรักษาพนักงานอย่างต่อเนื่องจนหายป่วย และสามารกลับเข้าทำงานได้อย่างปลอดภัย (Return to work) โดยกำหนดมาตรการและนโยบายที่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของภาครัฐ พร้อมสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงาน ผู้รับเหมา คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียของกลุ่มไทยออยล์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งมีการกำหนดนโยบายการปฏิบัติงานจากที่พักอาศัย (Work From Home Policy) เพื่อให้พนักงานมีสิทธิในการเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกับตน
นอกจากนี้ กลุ่มไทยออยล์ได้จัดทำนโยบายสนับสนุนพนักงานกลุ่มไทยออยล์ “People First for Employee Support Policy” เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและให้ความช่วยเหลือแก่พนักงาน ครอบครัวพนักงาน และสมาชิกชมรมพนักงานเกษียณกลุ่มไทยออยล์ ที่เผชิญกับอุปสรรคทั้งด้านการเงิน กฎหมาย สุขภาพกาย สุขภาพใจ แอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด ปัญหาการสมรส ความเจ็บป่วย ของสมาชิกในครอบครัว การดูแลบุตร ฯลฯ ทั้งในรูปแบบของสิทธิประโยชน์สวัสดิการ และมิใช่สวัสดิการ ตลอด 24 ชั่วโมงของทุกวัน

Improving mental health care

Improving mental health care: โครงการ 5 สุข เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาวะของพนักงานวิถีใหม่ (New Normal Work Life) และเพื่อให้พนักงานได้เข้าใจสิทธิที่พนักงานควรได้รับทั้งการดูแลพนักงานรวมถึงพนักงานที่เกษียณอายุในทุกด้านผ่าน โครงการ 5 สุขของกลุ่มไทยออยล์ ได้แก่

Ensuring education for all

Ensuring education for all: การให้ความรู้และสร้างความตระหนักด้านสิทธิมนุษยชน สำหรับพนักงานผ่าน Human Rights E-learning ใน “Thaioil Academy Application” และสำหรับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ ผ่านการจัดกิจกรรมการบรรยายเพื่อยกระดับความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คู่ค้าอย่างต่อเนื่อง ในงานสัมนาคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ ประจำปี 2566 (Supplier Seminar 2023) ณ หอประชุมไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านการยอมรับแนวปฏิบัติอย่างยั่งยืนของคู่ค้ากลุ่มไทยออยล์ (Supplier Code of Conduct) เป็นต้น

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future"

การร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมจัดงาน PTT Group CG Day 2023 ภายใต้แนวคิด “Good to Great : CG Empowering for the Future ผสานพลังร่วม รวมพลังสร้าง สู่อนาคตยั่งยืน” ผ่านการจัดงานในรูปแบบ Hybrid เพื่อส่งเสริม เผยแพร่การดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีของกลุ่ม ปตท. และเน้นย้ำให้บุคลากรทุกระดับในกลุ่ม ปตท. นำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยมีคณะกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนบริษัทคู่ค้า และแขกรับเชิญจากหน่วยงานกำกับฯ เช่น ตัวแทนจากมูลนิธิต่อต้านการทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าร่วมงานกว่า 400 คน รวมทั้งมีการเชิญคู่ค้า ลูกค้า และพนักงานเข้าร่วมชมการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ของงานอีกด้วย

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC

การจัดทำการสำรวจวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการ GRC (GRC Culture Survey) ประจำปี 2566 เพื่อประเมินวัฒนธรรมองค์กรด้านการบูรณาการการดำเนินงานด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน และการปฏิบัติตามกฎหมายกฎระเบียบและข้อบังคับ (GRC) ในภาพรวม โดยผลการสำรวจที่ได้รับจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนงานเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกำกับดูแลกิจการอย่างเหมาะสมต่อไป

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

การสื่อสารให้ข้อมูลหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต ผ่านช่องทางการสื่อสารภายในบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น คอลัมน์ GRC Corner ในวารสารอัคนี (วารสารภายในองค์กร) GRC Newsletter รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy)

การสื่อสารนโยบายงดรับของขวัญ (No Gift Policy) ให้พนักงานทุกคนรับทราบผ่านช่องทางสื่อสารภายในองค์กร ในหลากหลายรูปแบบ เช่น คลิปวีดิโอ E-newsletter เป็นต้นตลอดจนการจัดส่ง “หนังสือขอความร่วมมืองดมอบของขวัญหรือของกำนัลแก่ผู้บริหารและพนักงานของกลุ่มไทยออยล์” แก่คู่ค้า ลูกค้า สถาบันการเงิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันเหตุปัจจัยที่อาจนำไปสู่การกระทำที่ขัดต่อนโยบายการต่อต้านทุจริต

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning)

การปรับปรุงสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ (E-learning) ได้แก่ CG Orientation E-learning สำหรับพนักงานใหม่ ประกอบด้วยหัวข้อหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ และการต่อต้านการทุจริต และ Anti-Fraud E-learning สำหรับพนักงานปัจจุบัน เพื่อให้ความรู้ที่มาของการเกิดทุจริต และแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตภายในองค์กร

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้

การจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้ และส่งเสริมพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่โปร่งใส เป็นธรรม ตลอดปี 2566 เช่น กิจกรรม Compliance & CG Talk หัวข้อ การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดย นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กิจกรรม Law Focus หัวข้อ การป้องกันการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย บรรยายโดยผู้บริหารจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) กิจกรรม GRC in Action บริเวณหน้างาน CEO Townhall ประจำไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 4 กิจกรรม Good to Great CG Contest เชิญชวนแบ่งปันวิธีการทำงานที่ส่งเสริมแนวทาง CG ในแบบของคุณ เป็นต้น

SAP ECC

ปรับปรุงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่บริษัทฯ ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน หรือ ที่เรียกว่า SAP ECC ให้ยังคงสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบ ERP ไปสู่ SAP S/4 HANA ในปี พ.ศ. 2570 (ค.ศ. 2027)

Prominence Enhancement

พัฒนาระบบที่ใช้เก็บข้อมูลการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มไทยออยล์ โดยมีข้อมูลในหลายแง่มุม เช่น ประเภทคู่ค้า ราคา ปริมาณการซื้อขาย ช่วงเวลาการซื้อขาย รูปแบบการชำระเงิน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างราคา และช่วยในการตัดสินใจสำหรับการกำหนดรูปแบบการซื้อขายที่เหมาะสมกับคู่ค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไรที่มากขึ้น ตามแต่ละสถานการณ์ของตลาดที่มีความผันผวน

Predictive Maintenance Analytics

พัฒนาระบบประมวลผลข้อมูลการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องจักรที่สำคัญในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ เพื่อใช้ทำนายโอกาสที่อุปกรณ์เครื่องจักรเหล่านั้นจะเกิดความเสียหายและหาทางป้องกันล่วงหน้า เพื่อไม่ไห้เกิดเหตุการณ์ Unplan Shutdown และ Unplan Maintenance ต่างๆ และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

JSKem Pte Ltd & TOPNEXT India Private Limited

www.jskem.com.sg 

TOPNEXT ได้ซื้อหุ้นจำนวน 60% ในJSKEM เพื่อขยายธุรกิจด้านจัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศสิงคโปร์ และอินเดีย ก่อตั้งเมื่อปี 2021

PT. Tirta Surya Raya

PT. Tirta Surya Raya

TOPNEXT (TX)  ได้ซื้อหุ้นจำนวน 67% ใน PT. Tirta Surya Raya ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Tangerang ประเทศอินโดนีเซีย

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar

TOP Solvent Myanmar (TSMM) ปี พ.ศ.2560 บริษัทฯได้จัดตั้งสำนักงานตัวแทน ในประเทศเมียนมา ภายใต้ชื่อ TOP Solvent Company Limited (Myanmar Representative Office) เป็นตัวแทนบริษัทฯ ในการติดต่อประสานงานกับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อจำหน่ายสินค้า Petroleum และเคมีภัณฑ์ พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

TOP Solvent (Vietnam) Limited Liability

ก่อตั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 โดยมี บจ. ท็อป โซลเว้นท์ ถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์ และเป็นการลงทุนต่างประเทศครั้งแรกของไทยออยล์ ให้บริการด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารทำละลาย และเคมีภัณฑ์ หลากหลายรูปแบบ เช่น อุตสาหกรรมสี สารเคลือบผิว ทินเนอร์ กาว ตัวประสาน หมึกพิมพ์ อิเลคโทรนิค นํ้ายาทำความสะอาดต่างๆ การสกัดนํ้ามันพืช และอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม Go Dau (เวียดนามใต้) จังหวัด Dong Nai (เวียดนามใต้) และ จังหวัด Hai Phong (เวียดนามเหนือ)

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

บริษัท ศักดิ์ไชยสิทธิ จำกัด

www.sakchaisit.com 

มีบริษัท ท็อป เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นผู้ผลิตสารทำละลายไฮโดรคาร์บอนคุณภาพสูง สำหรับอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสี, ยางรถยนต์, กาว, น้ำมันพืช, โฟม, พลาสติก, เหมืองทองแดง เป็นต้น