อาชีวอนามัยและความปลอดภัย

สุขภาพและความปลอดภัย

ความท้าทาย ความเสี่ยง และผลกระทบ 

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ได้คลี่คลายลงในปี 2566 ส่งผลให้การปฏิบัติงานและการใช้ชีวิตของพนักงานและผู้รับเหมาได้เปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตปัจจุบัน (Now normal) ที่ยังคงมีการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้การขยายกำลังการผลิตตามแผนงานธุรกิจ อาทิ โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ที่กำลังเปลี่ยนสถานะจากการก่อสร้างไปสู่การเตรียมทดลองเดินเครื่อง (Commissioning and Start up) หน่วยกลั่น ล้วนเป็นความท้าทายที่กลุ่มไทยออยล์จำเป็นต้องทบทวนและเพิ่มเติมมาตรการควบคุมความปลอดภัยเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีอุบัติการณ์ร้ายแรงจนเป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มไทยออยล์

ความมุ่งมั่น และเป้าหมาย 

กลุ่มไทยออยล์มุ่งเน้นการวางรากฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal Safety) และความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Process Safety) ผ่านนโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการจัดการพลังงาน เพื่อป้องกัน ควบคุมและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งในสภาวะการดำเนินงานปกติ สภาวะผิดปกติ และสภาวะฉุกเฉิน สำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและการขยายธุรกิจในอนาคต ตลอดรวมถึงการสนับสนุนและปกป้องพนักงานและคู่ค้าจากความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจอันเนื่องมาจากประเด็นทางกฎหมาย ข้อบังคับและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานเป็นองค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ (No Harm No Leak Goal Zero)

ตัวชี้วัด เป้าหมายปี 2566 เป้าหมายปี 2573

วุฒิภาวะด้านความปลอดภัย (Maturity Level)

ยกระดับให้อยู่ในระดับที่ 4

ระดับที่ 4.5
สถิติความปลอดภัย อัตราการบาดเจ็บจากการทำงาน (TRIR) ของผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด (พนักงานและผู้รับเหมา) อยู่ในกลุ่มผู้นำร้อยละ 10 อันดับแรกของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ (IOGP) 0.10 รายต่อล้านชั่วโมงการทำงาน
อุบัติการณ์ด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Process Safety Event: PSE) Tier 1 0 เหตุการณ์ 0 เหตุการณ์

แนวทางการบริหารจัดการและผลการดำเนินงาน

1. การบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และสุขภาพของผู้ปฎิบัติงาน

แนวทางการบริหารจัดการ

กลุ่มไทยออยล์บริหารจัดการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย โดยกำหนดนโยบายคุณภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และการจัดการพลังงานของกลุ่มไทยออยล์ (QSHE Policy) เป็นกรอบในการดำเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนและเสริมสร้างศักยภาพของกลุ่มไทยออยล์ให้บรรลุความเป็นเลิศด้าน QSHE อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยมีการจัดทำระบบการจัดการแบบบูรณาการ ดังนี้

  1. 1. ระบบบริหารงานด้านคุณภาพตามมาตรฐาน (มอก. 9001: 2559)
  2. 2. ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน (มอก. 14001: 2559)
  3. 3. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน (มอก. 18001: 2554)
  4. 4. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน (ระบบมาตรฐาน ISO 45001: 2561)
  5. 5. ระบบการจัดการแบบบูรณาการ (Integrated Management Systems: IMS)
  6. 6. ระบบการจัดการว่าด้วยความสามารถของห้องปฏิบัติการทดสอบ (ระบบมาตรฐาน ISO/IEC 17025: 2561)
  7. 7. มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคม CSR (ระบบมาตรฐาน ISO 26000) ภายใต้โครงการ CSR – DIW
  8. 8. ระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัย ด้านสารสนเทศ (ระบบมาตรฐาน ISO/IEC 27001: 2556)
  9. 9. ระบบการจัดการพลังงาน (ระบบมาตรฐาน ISO 50001: 2562)
  10. 10. ระบบการจัดการ Operational Excellence Management System (OEMS)
  11. 11. ระบบการจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Process Safety Management)

ปัจจุบันกลุ่มไทยออยล์ดำเนินการตามแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (Operational Excellence to Business Excellence: O2Bx) เพื่อมุ่งขับเคลื่อนเป็นโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายตามโครงการ CFP โดยความปลอดภัยถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่จะต้องได้รับการพัฒนาและยกระดับ ซึ่งยังยึดหลัก All SAFE White Green เพื่อพัฒนาและยกระดับจิตสำนึกและภาวะผู้นำด้านความปลอดภัยในการทำงานให้สูงขึ้น โดยมีความหมาย ดังต่อไปนี้

All พนักงานและผู้รับเหมาทุกคน 
S การปฏิบัติงานอย่างมีมาตรฐาน 
A การตระหนักถึงอันตรายและการประเมินความเสี่ยง
F การปฏิบัติงานให้สอดคล้องตามมาตรฐานความปลอดภัย และมีการควบคุมการปฏิบัติที่เหมาะสม
E ความมั่นใจว่า มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
White การปลอดสารเสพติด 
Green การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
No Harm การเป็นองค์กรที่ปราศจากผู้ได้รับบาดเจ็บ 
No Leak ปราศจากการรั่วไหลของสารไฮโดรคาร์บอนหรือสารเคมีอันตรายจากภาชนะบรรจุหลัก 

กลุ่มไทยออยล์มีหน่วยงานเฉพาะทำหน้าที่ควบคุมและผลักดันการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าว และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประกอบด้วยผู้แทนจากพนักงานระดับปฏิบัติการไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของคณะกรรมการทั้งหมด (ไม่รวมประธานกรรมการ) ซึ่งกำหนดให้มีการประชุมอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง เพื่อแจ้งข่าวสาร พร้อมติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานและแผนการดำเนินงานในอนาคต เป็นต้น

บทบาทของคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน

  • • พิจารณานโยบายและแผนงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน
  • • กำหนดเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
  • • พัฒนาแผนงาน 5 ปี โดยการจัดลำดับความสำคัญและกำหนดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมาย เพื่อระบุบ่งชี้ถึงความเสี่ยง
  • • ติดตาม ประเมิน และรายงานความคืบหน้าของผลการดำเนินงาน เพื่อลดและป้องกันประเด็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ที่อาจนำสู่ผลกระทบต่อเป้าหมาย
  • • รายงานและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานและมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานต่อนายจ้าง เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง ผู้รับเหมา และบุคคลภายนอกที่เข้ามาปฏิบัติงานหรือเข้ามาใช้บริการในสถานประกอบกิจการ
  • • ส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการ ติดตาม รายงาน และประเมินผล
  • • สำรวจการปฏิบัติการด้านความปลอดภัยในการทำงาน และตรวจสอบสถิติการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการนั้นอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง

โครงการและกิจกรรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ดำเนินการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่สำคัญ ดังนี้

การขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx)

  • • การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ (O2Bx) เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อนโรงกลั่นชั้นนำระดับโลก และปรับเป้าหมายความปลอดภัยระดับองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ดังกล่าว คือ No Harm, No Leak, Goal Zero
    • • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัย การจัดการเหตุฉุกเฉินและวิกฤตให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแผนกลยุทธ์และเป้าหมายระดับองค์กรใหม่
    • • การมอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงนำเสนอกรณีศึกษาและประเด็นที่มีนัยสำคัญด้านความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ รับทราบเป็นประจำทุกเดือน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
    • • การเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ของประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้งในระหว่างการปฏิบัติงานตามปกติ การหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิต และงานโครงการก่อสร้าง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนับสนุนความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงเป็นตัวอย่างที่ดีด้านภาวะผู้นำความปลอดภัย

การประเมินความเสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

  • • การทบทวนการบ่งชี้และประเมินความเสี่ยงและอันตรายที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกัน และมีการตรวจติดตามประสิทธิผลของมาตรการควบคุมและป้องกันอย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบความปลอดภัย การวิเคราะห์ รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำโดยพนักงานและผู้รับเหมา ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีการทบทวนและตรวจสอบผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยเป็นประจำทุกเดือน
  • • การประเมินความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง และทบทวนมาตรการควบคุมและป้องกันด้านความปลอดภัย โดยกำหนดแผนและมาตรการความมั่นคงและความปลอดภัยเชิงป้องกันในระดับต่างๆ (Defense in Depth) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงและอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารเคมี โดยมีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินในระดับต่างๆ และต่อยอดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินไปสู่ระดับการบริหารจัดการภาวะวิกฤต (Crisis Management) ร่วมกับหน่วยงานภายนอกและหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มไทยออยล์ยังคงบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงร้ายแรงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
    • • การทบทวนบัญชีอุบัติเหตุที่มีศักยภาพก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง (Major Accident Event) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และการทบทวนและฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินและภาวะวิกฤต รวมถึงแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (International Best Practice) ตลอดจนปรับปรุงศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน (Emergency Control Center) ให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    • • การทบทวนวิธีปฏิบัติการบริหารจัดการอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ให้ครอบคลุมอุบัติการณ์ทุกประเภท ได้แก่ การบาดเจ็บจากการทำงาน โรคหรือการเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุและอุบัติการณ์อื่นๆ รวมถึงอุบัติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต มีการประเมินระดับความรุนแรงและความเสี่ยง โดยใช้ตารางการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment Matrix) เพื่อกำหนดทีมสอบสวนฯ และวิธีการสอบสวนฯ ที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงและความเสี่ยงของอุบัติการณ์นั้น และต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง พร้อมกำหนดมาตรการแก้ไขและป้องกันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ

การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย

  • • การทบทวนระบบใบอนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System) โดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนหรือประกายไฟ (Hot Work) รวมถึงรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • • จากการประเมินระดับวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2565 ผลการประเมินที่ 4.16 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5.00 คะแนน ซึ่งนำมาด้วยแผนงานพัฒนาวัฒนธรรมความปลอดภัย ในปี 2566 ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่ระบุไว้เพื่อให้พนักงานและผู้รับเหมามีความตระหนักและให้องค์กรก้าวเข้าสู่องค์กรที่ปราศจากอุบัติเหตุ
  • • การตรวจสอบระบบใบอนุญาต (Permit to Work Inspection) โดยพนักงานเจ้าของพื้นที่ (Area Operation) และทีมตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Audit Team) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติสอดคล้องตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในใบอนุญาตให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • • การจัดทำการ์ดมอบอำนาจสิทธิในการสั่งหยุดงาน (Stop Work Authority) ให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาทุกคน เมื่อพบว่าพื้นที่ปฏิบัติงานมีสภาพการณ์หรือสภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยต่อตนเองและเพื่อนร่วมงาน ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือทรัพย์สินของกลุ่มไทยออยล์ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นและเน้นย้ำถึงการป้องกันและแก้ไขก่อนเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติการณ์
  • • การประเมินดัชนีชี้วัดสมรรถนะด้านสุขภาพ (Health Performance Indicators) ตามหลักเกณฑ์และแนวทางของ International Association of Oil and Gas Producers (IOGP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดยได้รับคะแนนการประเมินในปี 2566 ที่ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4.00 คะแนน พร้อมจัดทำแผนงานพัฒนาและยกระดับระบบการบริหารจัดการให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของ IOGP ต่อไป
  • • การยกระดับการบริหารจัดการความปลอดภัยผู้รับเหมา (Contractor Safety Management) ให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มีการตรวจประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยประจำปีของบริษัทผู้รับเหมา โดยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (Third Party) ทั้งในส่วนของระบบบริหารจัดการและการปฏิบัติงานในพื้นที่ สำหรับใช้ในการแบ่งระดับผู้รับเหมา (Contractor Banding) เป็นสีเขียว สีเหลือง และสีแดง เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กรณีที่บริษัทผู้รับเหมา มีผลการประเมินฯ ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (สีเหลือง หรือ สีแดง) จะเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมานำเสนอแผนงานและทำการปรับปรุงแก้ไขประเด็นปัญหาให้สอดคล้องตามข้อกำหนดและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเอกสารการประเมินผลด้านเทคนิคของความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมสำหรับการประมูลผู้รับเหมา (Contract SSHE Bidding and Close Out Evaluation)
  • • การทบทวนวิธีปฏิบัติงานที่ปลอดภัย สำหรับกิจกรรมหรืองานที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ งานยกของหนักโดยปั้นจั่น งานนั่งร้าน งานที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในเขตพื้นที่โรงกลั่น เป็นต้น และทำการฝึกอบรมและสื่อสารให้กับพนักงานและผู้รับเหมาที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องตามข้อกำหนดอย่างครบถ้วน
  • • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติหรือฉุกเฉินสำหรับผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินและผู้เกี่ยวข้อง ด้วยระบบ SMS เพื่อให้ผู้อยู่เวรคอยเหตุฉุกเฉินทราบถึงเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาสนับสนุนการระงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • • การยกระดับการแจ้งเตือนสถานการณ์ผิดปกติกรณีเกิดฝนฟ้าคะนองในรัศมี 5 กิโลเมตร เพื่อเป็นการแจ้งเตือนให้พนักงานทราบและดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเป็นการแจ้งเตือนเพื่อเตรียมความพร้อมของทีมระงับเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดไฟไหม้ที่บริเวณขอบถังน้ำมันชนิดหลังคาลอย (Rim Seal Fire)
  • • การทบทวนแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า (Pre Incident Plan) ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรฐานสากล รวมถึงการฝึกซ้อมตามแผนที่กำหนด เพื่อเป็นการซักซ้อมการรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปีนี้มีการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า ระดับที่ 2 เพิ่มเติม เพื่อรองรับหน่วยผลิตใหม่ของโครงการ CFP
  • • การทบทวนคู่มือการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤติ (Emergency and Crisis Management Manual) และการวางแผนเผชิญเหตุล่วงหน้าให้ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชุน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต

การให้ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมด้านความปลอดภัย

  • • การพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะของพนักงานและผู้รับเหมา ผ่านศูนย์ฝึกอบรมความปลอดภัยที่มีความพร้อมทั้งภาคทฤษฎี (Theory) และภาคปฏิบัติ (Practice) และประเมินความรู้ความสามารถของพนักงานและผู้รับเหมาที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ตามระบบใบอนุญาตในการทำงานต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตตามบทบาทหน้าที่ ผ่านกระบวนการ Competency Assurance System
  • • การยกระดับวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน ด้วย Behavior Based Safety (BBS) โดยได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร BBS ให้กับพนักงานกลุ่มเป้าหมาย (Train for the Trainer) เพื่อนำไปถ่ายทอดและเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานและพนักงานผู้รับเหมาสำหรับใช้สังเกตพฤติกรรมในการทำงานและสั่งหยุดงานเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัย
  • • การจัดให้การฝึกอบรมหลักสูตรการขออนุญาตในการทำงาน (Permit to Work System and Clearance Certificate Signatory) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในระบบใบอนุญาตในการทำงาน
  • • การจัดโครงการป้องกันและลดอุบัติเหตุจากการทำงาน (30-60-90 Days with No Harm No Leak) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นให้พนักงานและผู้รับเหมาเกิดความตระหนักด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเข้มข้น โดยมีเป้าหมาย คือ ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการทำงานถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์ (Medical Treatment Case: MTC)
  • • การจัดกิจกรรม Thaioil Group QSHE Day ประจำปี 2566 เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยฯ ของพนักงานและผู้รับเหมา โดยการมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นด้าน QSHE ประจำปี 2566 และจัดบูธนิทรรศการ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยฯ ให้กับพนักงานและผู้รับเหมา
  • • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ (12 Life Saving Rules) โดยนำวิถีอันตราย (Line of Fire) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกฎความปลอดภัยพื้นฐาน ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซของ IOGP
  • • การรณรงค์และเสริมสร้างการตระหนักถึงอันตราย ได้แก่ วิถีอันตราย และการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยพื้นฐาน 12 ข้อ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการเขียนรายงาน Potential Incident Report (PIR) โดยมุ่งเน้นถึงการกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และสภาพการณ์ที่มีศักยภาพจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ (Unsafe Condition) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุ
  • • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในการทำงานของผู้รับเหมา (Contractor Training Matrix) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน 
  • • การจัดฝึกอบรมและให้ความรู้ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานและผู้รับเหมารายใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายและความเสี่ยงขั้นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ รวมถึงรู้และเข้าใจมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในกิจกรรมการทำงาน เช่น หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน (Basic Safety in Refinery) หลักสูตรดับเพลิงขั้นต้น (Basic Firefighting) หลักสูตรความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในที่อับอากาศ (Confined Space) และหลักสูตรการปฐมพยาบาล (First Aid) เป็นต้น
  • • การอบรมหลักสูตรด้านความปลอดภัยเฉพาะ สำหรับพนักงานและผู้รับเหมา เพื่อให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและสอดคล้องตามข้อกำหนด เช่น หลักสูตรผู้อนุมัติใบรับรองความปลอดภัย (Authorized Engineer (AE)/ Authorized Gas Safety Inspector (AGSI) Course) หลักสูตรผู้อนุมัติใบอนุญาตทำงาน (Clearance Certificate Signatory) หลักสูตรผู้ตรวจวัดแก๊ส (Authorized Gas Tester) หลักสูตรความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น
  • • กลุ่มไทยออยล์ยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์เชิงรุกโดยการยกระดับกิจกรรม Management Walk and Talk เป็น GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจ แนะนำวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินกิจกรรม QSHE Roll Out อย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการเข้าถึง รวมถึงการรณรงค์ส่งเสริมจิตสำนึกด้านคุณภาพความมั่นคง ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมของผู้ปฏิบัติงานหรือภายในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อขยายขอบเขตให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ณ ขณะนั้น อีกทั้ง กลุ่มไทยออยล์ยังนำระบบการจัดการต่างๆ ที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป และมีการรายงานผลการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นให้ผู้บริหารได้รับทราบและร่วมหาแนวทางการแก้ไขเป็นประจำ รวมถึงจะมีกระบวนการทบทวน (Management Review) เป็นประจำทุกปี เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงและจัดทำแผนงานประจำปีต่อไป พร้อมทั้งมีการสื่อสารให้พนักงานรับทราบเป็นระยะ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต่อไป

การรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

  •  การดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังติดตามและแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 0 ไม่พบผู้ติดเชื้อ เน้นการป้องกันและเฝ้าระวัง ระยะที่ 1 พบผู้ต้องสงสัยหรือผู้ติดเชื้อในกลุ่มไทยออยล์ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจาย และระยะที่ 2 พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในกลุ่มไทยออยล์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เน้นการกอบกู้สถานการณ์และการฟื้นฟู ต้องเปิดศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินและความต่อเนื่องทางธุรกิจ

ผลการดำเนินงานปี 2566

ในปี 2566 ขณะที่บริษัทฯ กำลังมีกิจกรรมโครงการก่อสร้างหน่วยกลั่นพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project Constructions Phase) ได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นขณะที่ผู้รับเหมาปฏิบัติงานด้วยการให้ความร้อนกับแนวเชื่อมบริเวณแนวท่อหลังจากการเชื่อม (Post Weld Heat Treatment: PWHT) ส่งผลให้ผู้รับเหมาที่ปฏิบัติงานได้รับบาดเจ็บรุนแรง 1 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในพื้นที่เกิดเหตุทันทีโดยทีมช่วยเหลือชีวิต พร้อมนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ได้มีการหยุดงานโครงการฯ และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ประกอบด้วยผู้ชำนาญการเฉพาะด้าน ทำการสอบสวนเพื่อค้นหาสาเหตุของอุบัติเหตุ และกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ รวมทั้งมีการจัดทำ Lesson Learned Sharing ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ

2. การบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิต 

แนวทางการบริหารจัดการ

ความปลอดภัยในกระบวนการผลิตเป็นหนึ่งในองค์ประกอบซึ่งอยู่ในเสาหลักด้านความปลอดภัย (Safety Pillar) ของแผนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางธุรกิจ จึงต้องได้รับการยกระดับและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายหลักที่สำคัญในการดำเนินงาน คือ การดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการรั่วไหลของสารไฮโดรคาร์บอนหรือสารเคมีอันตราย (Loss of Primary Containment: LOPC) หรือปราศจากเหตุการณ์ผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต (Process Safety Event: PSE) จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อมและชื่อเสียงของกลุ่มไทยออยล์ ดังนั้น ระบบการจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Process Safety Management: PSM) จึงเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ ทั้งยังช่วยขับเคลื่อนและเสริมสร้างศักยภาพของกลุ่มไทยออยล์ให้บรรลุเป้าหมาย No Harm, No Leak, Goal Zero เพื่อความเป็นเลิศด้านผลการดำเนินงานความปลอดภัยในกระบวนการผลิตในระดับโลก

ตั้งแต่ปี 2561 บริษัทฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานความปลอดภัยด้านเทคนิค (Technical Safety) เพื่อพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิตของกลุ่มไทยออยล์ให้เทียบเคียงมาตรฐานสากล (Occupational Safety and Health Administration: OSHA) โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและเป็นองค์กรที่มีความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่ของการดำเนินงาน 

โครงการและกิจกรรมด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิต

ในปี 2566 กลุ่มไทยออยล์ได้ดำเนินการด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิตให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากลและการปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากลที่สำคัญ ดังนี้

  • • การทบทวนสถานะการบริหารจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิตในปัจจุบันกับข้อกำหนดของระบบการจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิตตามมาตรฐานสากล OSHA และการปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล
  • • การทบทวนแผนงาน 5 ปี ด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิต เพื่อพัฒนาและยกระดับระบบการจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล  
  • • การทบทวนและยกระดับอุปกรณ์วิกฤตด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Safety Critical Equipment: SCE) ให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของ Mechanical Integrity ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของ PSM และการบริหารจัดการของกลุ่มปตท.
  • • การยกระดับกระบวนการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Management of Change: MOC) ในกระบวนการผลิต ให้สอดคล้องตามวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล เพื่อป้องกันอุบัติการณ์และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงหรือการแก้ไขปรับปรุงกระบวนการผลิตที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง โดยมีการทบทวนประเด็นต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยงและกำหนดมาตรการป้องกัน การออกแบบตามหลักวิศวกรรม การทบทวนทางด้านเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ก่อนที่จะมีการแก้ไขหรือปรับปรุง และหลังจากการปรับปรุงจะต้องมีการทดสอบก่อนการเดินเครื่องจักรจริง รวมถึงกำหนดตัวชี้วัด (MOC KPI) ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ รวมถึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการในระดับผู้บริหาร (Steering Committee) และระดับปฏิบัติการ (Operational Committee) ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและให้การสนับสนุนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนด
  • • การพัฒนาระบบการจัดการกระบวนการบริหารการเปลี่ยนแปลง โดยการปรับปรุงกระบวนการทบทวนและอนุมัติการเปลี่ยนแปลงพร้อมทั้งพัฒนาระบบ e-MOC ให้สอดคล้องกับกระบวนการทบทวนและอนุมัติการเปลี่ยนแปลงใหม่
  • • การพัฒนาและยกระดับระบบ Technical Authority (TA) ให้สอดคล้องตามการปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล มาปรับใช้ในกระบวนการ MOC อย่างต่อเนื่องโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต ผ่านการทบทวนและรับรองโดยผู้มีความรู้ความสามารถทางเทคนิคอย่างเป็นระบบ โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ให้สามารถดำเนินการได้ด้วยความปลอดภัยอย่างยั่งยืน และในปี 2566 ได้ทำการฝึกอบรมหลักสูตร Technical Authority และประเมินความรู้ความสามารถของ TA (TA2 และ TA3) ทดแทนและเพิ่มเติมระบบการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง
  • • การทบทวนและสื่อสารประเด็นความเสี่ยงและมาตรการควบคุมป้องกันอันตรายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นครบทุกกระบวนการผลิต ถังเก็บผลิตภัณฑ์ เตาเผาของหน่วยกลั่น หน่วยบำบัดน้ำเสีย และทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (Single Buoy Mooring: SBM) ที่ 1 และ 2 ผ่านกระบวนการบริหารจัดการอันตรายและความเสี่ยง (Hazard Effect Management Process: HEMP) อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการควบคุมป้องกันหรืออุปกรณ์นิรภัยที่ได้ออกแบบและติดตั้งไว้ยังคงมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสามารถควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ตลอดเวลา
  • • การปรับปรุงกฎความปลอดภัยในกระบวนการผลิตพื้นฐาน 10 ข้อ (10 Process Safety Fundamental) ตามแนวทางการปฏิบัติของกลุ่ม ปตท.
  • • การเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิตด้วยกฎความปลอดภัยในกระบวนการผลิตพื้นฐาน 10 ข้อ และ Process Safety Management and Barrier Thinking รวมถึงกิจกรรมการลงตรวจเยี่ยมผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่โดยผู้บริหารระดับสูง หรือ GEMBA Walk โดยผู้บริหารระดับสูง ดำเนินการตรวจสอบด้วยการพูดคุยสอบถามถึงกิจกรรมสำคัญ โดยใช้ชุดคำถามที่มีความเฉพาะ มุ่งเน้นการแนะนำ สร้างความเข้าใจ ในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและความปลอดภัยในกระบวนการผลิต
  • • การตรวจสอบความปลอดภัยในกระบวนการผลิต โดยมีการกำหนดแผนการตรวจสอบ รายการตรวจสอบ (Checklist) การรายงาน การตรวจติดตามการแก้ไข และวิเคราะห์ผลอย่างเป็นระบบ
  • • การจัดทำแผนการพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิต (Process Safety Competency Development Matrix) ตามแนวทางของ COE (Community of Expert) ครอบคลุมบทบาทหน้าที่ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และดำเนินการฝึกอบรมฯ รวมถึงการประเมินความรู้ความสามารถตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีความรู้ ความสามารถและทักษะทางด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิตที่เหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และนำไปสู่ผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศอย่างยั่งยืน
  • • การพัฒนาปรับปรุงการทบทวนความปลอดภัยก่อนเดินเครื่องจักร (Pre Startup Safety Review: PSSR) ทั้งในส่วนของระเบียบวิธีปฏิบัติ และแบบสำรวจความปลอดภัย (PSSR Checklists) ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล เพื่อเตรียมพร้อมรองรับโครงการ CFP ที่จะทำการ Commissioning และ Start up ในอนาคต
  • • การส่งเสริมให้พนักงานและผู้รับเหมาศึกษาและเรียนรู้จากอุบัติเหตุร้ายแรง (Learning from Incident) และการปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล โดยนำความรู้ที่ได้มาทบทวนและปรับปรุงความปลอดภัยในกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินของบริษัทฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติภัยร้ายแรง ทั้งยังเป็นการพัฒนาการจัดการเหตุฉุกเฉินและภาวะวิกฤตให้ก้าวสู่ระดับสากล
  • • การสร้างความตระหนักและการป้องกันการรั่วไหลของสารไฮโดรคาร์บอนหรือสารเคมีอันตรายจากภาชนะบรรจุหลัก (Loss of Primary Containment Prevention: LOPC Prevention) โดยมีการทบทวนและยกระดับกระบวนการจัดการและห่วงโซ่ของ LOPC ครอบคลุมการรายงาน การสอบสวน การวิเคราะห์ และการเรียนรู้จาก LOPC ที่เคยเกิดขึ้น (Learning from Incident: LFI) รวมถึงการจัดการและการป้องกันเชิงรุก เช่น Corrosion Under Insulation inspection, Flange assurance และ Gasket control เป็นต้น ทั้งนี้ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในระดับผู้บริหารทำหน้าที่ขับเคลื่อนและให้การสนับสนุนโครงการ LOPC Prevention ให้บรรลุเป้าหมายความปลอดภัยที่กำหนดไว้
  • • การจัดกิจกรรมการสำรวจความปลอดภัยของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต (Reliability Walkabout Campaign) เพื่อสร้างความตระหนักให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงาน ในการค้นหาแหล่งหรืออุปกรณ์ที่มีศักยภาพหรือความเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลของสารไวไฟหรือสารเคมีจากภาชนะบรรจุหลักหรือกระบวนการผลิต (LOPC)
  • • การจัดทำตารางการอบรมความปลอดภัยในกระบวนการผลิตของพนักงานและผู้รับเหมา (Process Safety Knowledge) เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานและผู้รับเหมาที่เข้ามาปฏิบัติงานในพื้นที่กลุ่มไทยออยล์ มีความรู้ ความสามารถที่เหมาะสม

ผลการดำเนินงานปี 2566

ในปี 2566 มีเหตุการณ์รั่วไหลของสารไวไฟหรือสารเคมีจากภาชนะบรรจุหลัก หรือกระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง (Tier 1) ตามข้อกำหนด API 754 จำนวน 1 เหตุการณ์ หรือคิดเป็น 0.04 เหตุการณ์ต่อหนึ่งล้านชั่วโมงการทำงาน ซึ่งยังสูงกว่าเป้าหมายของปี 2566 ซึ่งตั้งไว้ที่ 0 เหตุการณ์ต่อหนึ่งล้านชั่วโมงการทำงาน อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์มีการสืบสวนหาสาเหตุเพื่อแก้ไขและป้องกันในอนาคต จากการสอบสวนเหตุการณ์ พบว่า ระบบตรวจจับที่ได้ติดตั้งไว้และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามารถตรวจจับและพบเจอเหตุการณ์ได้ตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้สามารถควบคุมเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วและไม่ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต

 

Update : กุมภาพันธ์ 2567

องค์ประกอบของคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัน และสภาพแวดล้อมการทำงาน

กลุ่มไทยออยล์มีคณะกรรมการ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานซึ่งทําหน้าที่จัดการดูแลให้พนักงานทุก คนมีความปลอดภัยในการทํางาน พร้อมกําหนดกฎระเบียบ ข้อกําหนด และวิธีการทํางานที่ปลอดภัยพร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน อันตรายต่างๆ ตลอดจนให้การศึกษาอบรมแก่พนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจในงานที่ทําโดยมีการตรวจสอบ ติดตาม และทบทวนผล การดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง

คณะกรรมการความปลอดภัยฯ ประกอบด้วยสมาชิกดังนี้
ตัวแทนนายจ้าง จํานวน 1 คน เป็นประธานคณะกรรมการ
ผู้แทนระดับบังคับบัญชา จํานวน 4 คน เป็นกรรมการ
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพ จํานวน 1 คน
เป็นกรรมการและเลขานุการ
ตัวแทนลูกจ้าง จํานวน 5 คน (คิดเป็นร้อยละ 50 ของคณะกรรมการ)
โดยบริษัทแต่งต้ั้งคณะกรรมการดําเนินการเลือกต้ั้ง

กลุ่มไทยออยล์กําหนดนโยบายความปลอดภัยฯ ระเบียบวิธีปฏิบัติและวิธีปฏิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรวมถึงระเบียบด้านการบุคคล (Blue Book) หมวดที่ 11 ซึ่งเป็นคู่มือที่ลงนามร่วมกันระหว่างองค์กรและกรมแรงงาน ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคนที่จะปฏิบัติ ตามวิธี การและแนวทางต่างๆ ที่กําหนดไว้ ตั้งแต่เริ่มทํางาน และรายงานต่อผู้บังคับบัญชาสําหรับเหตุการณ์ท่ีมีศักยภาพก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายหรือความเสียหาย 

การส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพนักงาน
 
กลุ่มไทยออยล์เน้นการบริหารจัดการอาชีวอนามัยเชิงรุก โดยมี การประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพ (Health risk assessment) ซึ่ง เป็นส่วนหน่ึงของระบบมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัยและ ความปลอดภัย ซึ่งเริ่มจากการประเมินการสัมผัส (Exposure assess ment) ของพนักงานตามลักษณะงานต่างๆ เพื่อหาปัจจัยเสี่ยง ต่อสุขภาพและเตรียมการเฝ้าระวัง รวมถึงค้นหากิจกรรมท่ีมีความเส่ียง ของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนมีการตรวจวัด และวิเคราะห์ ปัจจัยเสี่ยงในกิจกรรมน้ันๆ เพื่อทบทวนมาตรการควบคุมป้องกันที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน และท่ีสําคัญพนักงานจะได้รับการเฝ้าระวังและตรวจสุขภาพอย่างสมํ่าเสมอ

นอกจากนั้นยังมีการเฝ้าติดตามการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ท่ีสําคัญ เช่น โรคไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยมีการตรวจประเมิน พื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการให้ความรู้เพื่อป้องกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงกลุ่มพนักงานที่ต้องออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงของ โรคติดต่อที่สําคัญ เช่น พนักงานท่ีมีหน้าที่พัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น

การอนุรักษ์การได้ยิน (Hearing Conservation Program)
ที่ผ่านมาพนักงานกลุ่มไทยออยล์ ยังไม่พบประเด็นปัญหาการสูญเสียการได้ยิน อันเนื่องมาจากการทํางาน (Noise Induce Hearing Loss: NIHL) แต่เพื่อ เป็นการป้องกันและลดโอกาสการเกิด NIHL จึงได้จัดโครงการรณรงค์ การอนุรักษ์การได้ยิน (Hearing Conservation Program) โดยมีการตรวจวัดวิเคราะห์และจัดทําแผนท่ีเสียง (Noise Contour Map) เพื่อ ปรับปรุงที่แหล่งกําเนิดของเสียงพร้อม ติดป้ายเตือนในพื้นท่ีเสียงดัง เกิน 80 เดซิเบล (เอ) นอกจากนี้มีการรณรงค์ให้พนักงานและผู้รับเหมา สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงทุก ครั้งท่ีออกไปปฏิบัติงานในพื้นท่ี กระบวนการผลิต รวมถึงการตรวจการได้ยิน (Hearing Test) เพื่อเฝ้าระวังการสูญเสียการได้ยินใน ระยะเร่ิมต้น ผลจากการรณรงค์ฯ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิด NIHL ในอนาคตได้

การดูแลการยศาสตร์สำหรับงานสำนักงาน (Office Ergonomic)
ปัจจุบันพนักงานสํานักงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทํางานนานต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดพัก ซึ่งนําไปสู่ประเด็นความเสี่ยง ในด้านการยศาสตร์ (Ergonomic) และอาจเกิดการเจ็บป่วย (Office syndrome) ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทํางาน ผู้เช่ียวชาญด้านอาชีว อนามัยร่วมกับแพทย์อาชีวอนามัย ได้ทําการสํารวจและประเมินความเส่ียงทางด้านการยศาสตร์สําหรับ กลุ่มเป้าหมาย พร้อมให้คํา แนะนําปรับปรุงสถานที่ทํางาน อุปกรณ์สํานักงาน และท่าทางการทํางานให้ถูกต้องเหมาะสม ตลอดจนการหยุดพักระหว่างการทํางาน นอกจากนี้ กลุ่มฯ ยังสร้างบรรยากาศการทํางานให้มีความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดีทําให้การ ปฏิบัติงาน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดําเนินงานด้านความปลอดภัยของกลุ่มไทยออยล์โดยรวมดีขึ้นส่งผลให้ธุรกิจของกลุ่มฯ สามารถดําเนินการ ได้อย่างต่อเนื่องและย่ังยืน โดยตลอดระยะเวลา 53 ปีที่ผ่านมา จากการประเมินโดยแพทย์อาชีวอนามัยไม่พบว่ามี พนักงานและ ผู้รับเหมาเจ็บป่วยด้วยโรคอันเนื่องมาจากการทํางาน

การสร้างความพร้อมสำหรับการทำงาน (Fit for Work)
กลุ่มไทยออยล์ให้ความสําคัญกับการเตรียมร่างกายของผู้ปฏิบัติงานให้เหมาะสม และพร้อมสําหรับการทํางาน (Fit For Work) ซึ่งปัจจุบันได้ ดําเนินการสําหรับการทํางานท่ีมีความเสี่ยง เช่น งานในที่ อับอากาศ งานบนท่ีสูง เป็นต้น และจะขยายให้ครอบคลุมกลุ่มพนักงานท่ีมี ปัญหาด้านสุขภาพซึ่งอยู่ในระหว่างรับการรักษาทางการแพทย์แต่ไม่มีความจําเป็นต้องหยุดงาน เช่น โรคความดัน โลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ เป็นต้น รวมถึงพนักงานที่มีภาวะอ้วนหรือดัชนีมวลรวม (Body Mass Index : BMI) สูงเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งผลการดํา เนินการ สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ อันเนื่องมาจากปัญหาสุขภาพได้
ความปลอดภัยจากการขนส่ง

การขนส่งของกลุ่มไทยออยล์ดำเนินงานภายใต้ระบบการบริหารจัดการขนส่งที่สอดคล้อง กับกลุ่ม ปตท. ซึ่งประกอบด้วย การจัดการด้านความปลอดภัย การบริหารจัดการพนักงาน ขับรถ รายการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนเข้ารับผลิตภัณฑ์ และระบบการตรวจ สอบเพื่อให้การขนส่งตรงตามเวลาและข้อกำหนด โดยมุ่งลดการปฏิบัติที่เสี่ยงต่อ ความปลอดภัย